Artmulet
ผู้รังสรรค์ผลงานประติมากรรมแห่งศรัทธา
สู่จิตวิญญาณแห่งมวลมนุษยชาติ
เพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
ชมผลงานสื่อต่างๆ ที่พูดถึง Artmulet
กว่า 9 ปีที่ Artmulet ได้รังสรรค์ผลงานประติมากรรมแห่งศรัทธา ซึ่งถูกพูดถึงในสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์มากมาย





นารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช
นารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช
นารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช
3 ประสานแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
สู่อำนาจ วาสนา บารมี ทรัพย์สิน บริวาร
Artmulet ขอนำเสนอผลงานประติมากรรมองค์สำคัญที่ผู้คนทั้งหลายไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน มีความเกี่ยวข้องกับมหาเทพองค์สูงสุดเหนือกว่าเทพองค์ใดในจักรวาล เป็นผู้ปกปักรักษาทุกสรรพสิ่ง ผู้ประทานความรุ่งเรือง ก้าวหน้า มั่นคง สมบูรณ์ด้วยอำนาจ วาสนา บารมี เป็นหนึ่งในตรีมูรติและยังสามารถอวตารเป็นเทพองค์อื่นได้อีกมากมาย อันหมายถึง “พระนารายณ์” ชื่อที่คนไทยคุ้นกันดีอยู่แล้ว พระนารายณ์นั้นเวลาท่านจะเสด็จไปในที่ต่างๆ ก็จะมีพญาครุฑหรือพญาสุบรรณ ทำหน้าที่เป็นพาหนะให้ แต่หากไม่มีภารกิจอันใดแล้วพระองค์จะบรรทมอยู่ในเกษียรสมุทรโดยมีพญาอนันตนาคราชทำหน้าที่เป็นบัลลังก์ให้ ทั้งพญาครุฑและพญาอนันตนาคราชนั้น เป็นพี่น้องต่างมารดากันและต่างก็เป็นผู้มีฤทธิ์เดชไม่แพ้กัน
พญาครุฑนั้นถือเป็นพญาแห่งนกทั้งมวล และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ อาศัยอยู่ ณ วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งวัชระหรือสายฟ้าของพระอินทร์ จะทำได้ก็เพียงแต่ทำให้ขนปีกของครุฑหลุดร่วงลงเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ครุฑมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" อันหมายถึง "ผู้มีปีกอันวิเศษงดงามทรงพลัง" ครุฑมีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาแหลมคม อ่อนน้อมถ่อมตน ในมหากาพย์อย่างมหาภารตะนั้นเล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแต่ต่อมาภายหลังเกิดมีความขัดแย้งกันจึงกลายเป็นศัตรูกัน
ส่วนพญาอนันตนาคราชนั้น ถือเป็นราชาแห่งพญานาคผู้เป็นใหญ่ในนครบาดาลและเกษียรสมุทร และยังเชื่อกันว่าเป็นอีกร่างหนึ่งขององค์พระนารายณ์ ที่อวตารมาเป็นพญานาคราชผู้มีหน้าที่คอยรองรับแผ่นดิน และเป็นผู้ที่จะพ่นไฟทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายเพื่อก่อกำเนิดสิ่งใหม่ทั้งยังทรงเป็นเทพบัลลังก์แห่งพระนารายณ์ พญาอนันตนาคราชนั้น เป็นพญานาคผู้เลื่องชื่อในเรื่องของฤทธิ์เดช อำนาจ และบารมี โดยเฉพาะตามคติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ถือว่าพญาอนันตนาคราช นั้นเป็นที่สุดแห่งพญานาคทั้งปวง เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนทั้งหลาย มีพลังอำนาจ มากด้วยบารมี และเป็นที่ยอมรับมากที่สุด ดุจดังนามอันยิ่งใหญ่ “พญาอนันตนาคราช” นั่นเอง
จากตำนานแห่งความเชื่อความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งองค์พระนารายณ์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ขณะทรงพญาสุบรรณและพญาอนันตนาคราช พระหัตถ์ซ้ายของพระองค์ทรงตรีสัญลักษณ์แห่งผู้เป็นใหญ่เหนือผู้อื่นใดในสามโลก พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์สัญลักษณ์แห่งผู้ทรงฤทธิ์อำนาจในการบัญชาการทั้งหลาย พระหัตถ์ขวาบนทรงจักรสัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไปข้างหน้าลบล้างสิ่งชั่วร้ายสร้างคุณธรรมความดี พระหัตถ์ซ้ายบนทรงสังข์สัญลักษณ์แห่งการมีชื่อเสียงในคุณธรรมความดี
ทรงพญาสุบรรณ ที่มีลักษณะกึ่งคนกึ่งเทพคือมีลำตัวเป็นคน มีหัวและขาเป็นนกตามแบบสากลนิยม ลักษณะกางปีกเหินเวหาทรงพลังอำนาจ หนุนดวงชะตา เสริมบารมี นำพาผู้ศรัทธาสู่ความมั่งคั่ง รุ่งเรือง
มีพญาอนันตนาคราชผู้เป็นราชาเหนือพญานาคทั้งปวงทรงเป็นบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ให้แก่พระองค์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งอย่างหาที่สุดมิได้ พร้อมทั้งกลุ่มเมฆอันเป็นสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ อันจะนำพาความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลมาสู่ตนและวงศ์ตระกูลสืบไป
ดังนั้นผลงานประติมากรรมในครั้งนี้ถือได้ว่าสำคัญเป็นที่สุดเป็นสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนและเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่นี่กับการอยู่ร่วมกันของครุฑและนาคอย่างสมานฉันท์ด้วยหน้าที่ ดังนั้นผลงานประติมากรรมอันทรงพระนาม “นารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช” จึงถือเป็น 3ประสานแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
โดยพระนารายณ์ ถือเป็นตัวแทนแห่งเจ้าผู้ปกครองผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา คุณธรรม ความดี มีความเฉลียวฉลาด ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา อันเป็นคุณสมบัติอันควรค่าแก่การเป็นต้นแบบแห่งเจ้าผู้ปกครองอย่างแท้จริง อันจะนำมาซึ่งบริวารที่มีความเก่งกล้าสามารถไม่เป็นสองรองใครอีกทั้งยังมีความซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณและจงรักภักดี ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติประจำตัวของพญาครุฑหรือพญาสุบรรณ ส่วนพญาอนันตนาคราชนั้นเปรียบประดุจดัง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใดหรือแม้แต่จะกระทำการใดๆ ย่อมได้รับการสนับสนุนจากทุกๆ ฝ่ายและได้รับความเกื้อหนุนจากผู้คนทั้งหลาย อันเป็นคุณสมบัติของพญาอนันตนาคราชผู้เป็นราชาแห่งนาคทั้งปวงโดยเหล่านาคนั้นมีอยู่อย่างมากมายในทุกที่ทุกสถานอันเป็นอนันต์ และพญานาคนั้นเป็นที่เคารพสักการะบูชามาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจวบจนถึงปัจจุบัน
โดยผลงานดังกล่าวนี้สืบเนื่องจาก คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณจิตตนาถ ลิ้มทองกุล เจ้าของผลงาน ได้เชิญ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารงานพุทธเทวศิลป์ประธานดำเนินงาน แห่ง Artmulet มาปรึกษาเพื่อค้นหาแนวทางในการจัดสร้างผลงานประติมากรรมแห่งศรัทธา โดยมีหัวใจยันต์มหารวยของ อ.ไพโรจน์ รื่นวิชา ขนาด 3x3 เมตรเป็นต้นแบบ อันนำไปสู่การรังสรรค์ผลงานประติมากรรม นารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช โดย Artmulet และถือได้ว่าผลงานประติมากรรมในครั้งนี้มีความงดงามอลังการเป็นที่น่าอัศจรรย์ทั้งรายละเอียดที่ดูอ่อนช้อยแต่แฝงด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยาย และทั้งหมดนี้เพื่อมอบไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าสืบทอดไปยังลูกหลานเพื่อเป็นเครื่องเจริญสติในการสร้างคุณงามความดีทั้งหลายและเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
ทั้งนี้เบื้องหลังในการจัดสร้างผลงานประติมากรรม นารายณ์ทรงสุบรรณอนันตนาคราช ในครั้งนี้ เป็นความปรารถนาเพื่อเป็นเครื่องเจริญสติ ในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของคนในชาติ หากทุกฝ่ายต่างทำหน้าที่ โดยยึดถือเอาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้งแล้ว แนวคิดของผลงานประติมากรรมในครั้งนี้ก็ย่อมจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งและจะเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศไทยของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในโลกยุคใหม่
พระพุทธมหาจักรพรรดิอมรรัตนศรีสุวรรณภูมิ
พระพุทธมหาจักรพรรดิอมรรัตนศรีสุวรรณภูมิ
พระพุทธมหาจักรพรรดิอมรรัตนศรีสุวรรณภูมิ ผู้ทรงระงับเหตุเภทภัยและนำพาสมบัติจักรพรรดิมาสู่ชีวิต
จากตำนานเกี่ยวกับท้าวมหาชมพูบดีสูตร ในสุตตันตปิฎก กล่าวไว้ว่าท้าวมหาชมพูบดีเป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งนครปัญจาลราชและมีของวิเศษคู่กายคือฉลองพระบาทประดับอัญมณีเมื่อสวมใส่แล้วจะเหาะได้ มีพระขรรค์วิเศษและศรวิเศษ ด้วยบุญญาธิการของพระองค์จึงมีกษัตริย์ถึงร้อยเอ็ดหัวเมืองมายอมสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้น วันหนึ่งท้าวมหาชมพูบดีได้เสด็จเหาะผ่านไปเห็นปราสาทพระเจ้าพิมพิสารที่มีความงดงาม เกิดไม่พอพระทัยจึงคิดจะทําลาย แต่ก็ไม่สามารถทำลายปราสาทนั้นได้ จึงส่งของวิเศษทั้งสองมาเพื่อหมายจะทำร้ายพระเจ้าพิมพิสาร จนพระเจ้าพิมพิสารต้องหนีไปขอพึ่งพระบารมีของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าท้าวมหาชมพูบดีสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้จึงให้พระอินทร์ไปเชิญท้าวมหาชมพูบดีมาเฝ้า ซึ่งต้องใช้กําลังบังคับจนท้าวมหาชมพูบดียอมเดินทางมา พระพุทธเจ้าได้เนรมิตเมืองให้มีความวิจิตรงดงามตระการตา เมื่อท้าวมหาชมพูบดีเสด็จมาถึง พระพุทธเจ้าก็ให้มาฆสามเณรไปเชิญท้าวมหาชมพูบดีเสด็จพระราชดําเนินเข้าเมืองด้วยเท้า ซึ่งมาฆสามเณรก็ใช้อิทธิฤทธิ์ทําให้ท้าวมหาชมพูบดีต้องลงจากหลังช้างและเดินเท้าเข้าเมืองมา จึงเห็นว่าเมืองของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่งดงามอลังการกว่าเมืองของตน และเมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งขณะนั้นทรงเนรมิตพระองค์ด้วยภูษาอาภรณ์ทรงเครื่องใหญ่ในแบบพระมหาจักรพรรดิราชที่ยิ่งใหญ่อลังการเหนือกว่ากษัตริย์ใดๆที่ท้าวมหาชมพูบดีได้เคยพบเห็นมา เมื่อท้าวมหาชมพูบดีเห็นดังนั้นจึงเกิดความเลื่อมใสและลดทิฐิมานะของตนลงได้ จากนั้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงธรรมโปรดท้าวมหาชมพูบดีพร้อมกับกษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดหัวเมืองที่ติดตามมาทุกคนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงได้ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
อีกตำนานพุทธประวัติอันเกี่ยวกับปางห้ามสมุทรนั้นมีที่มาจากในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปประกาศพระศาสนายังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ของพระเจ้าพิมพิสาร ทรงขอประทับแรมอยู่ในสำนักของอุรุเวลกัสสปะ ผู้เป็นหัวหน้าชฎิล (ฤษี ผู้บูชาไฟ) ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนในแคว้นมคธ พระองค์ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการเพื่อทรมาน ฤษีอุรุเวลกัสสปะให้คลายความพยศลง ในครั้งที่น้ำท่วม พระองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ห้ามน้ำที่ไหลบ่ามาจากทุกสารทิศมิให้เข้ามาในที่ประทับ และเสด็จจงกรมภายในวงล้อมที่มีน้ำเป็นกำแพง พวกเหล่าชฎิลพายเรือมาดู เห็นเป็นอัศจรรย์ จึงยอมรับในอานุภาพของพระพุทธองค์ จึงได้ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ
จากตำนานความเชื่อและความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานประติมากรรมอันล้ำค่าด้วยพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่อย่างมหาจักรพรรดิอยู่ในอริยาบทหงายพระหัตถ์ทั้งสองตั้งขึ้นเสมอกับพระอุระ ตามตำราพระพุทธรูปไทยสมัยรัตนโกสินทร์ใช้เรียกปางห้ามสมุทร ประดับเครื่องทรงอันประกอบด้วย มหามงกุฎทรงสูง กรรเจียกจร กระหนกเหน็บ กรองศอ พาหุรัด ทับทรวง ทองพระกร พระธำมรงค์สวมทุกพระองคุลี กงจักร สังฆาฏิ สังวาล ผ้าคาดเอว สายรัดพระองค์ ปั้นเหน่ง สุวรรณกระถอบ ชายไหว ชายแครง ทองพระบาท ฉลองพระบาทเชิงงอน พระภูษาที่มีลวดลายงดงามอลังการวิจิตรบรรจง ศิลปะรัตนโกสินทร์แบบร่วมสมัยที่มีความอลังการเป็นที่สุด
ด้วยมูลเหตุดังกล่าวนี้ Artmulet นำโดย อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงาน และ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์สังคมและการเมือง ที่ปรึกษาโครงการ และคณะกรรม การวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง จึงมีมติเห็นตรงกันว่า สมควรให้มีการจัดสร้าง “พระพุทธมหาจักรพรรดิอมรรัตนศรีสุวรรณภูมิ” ขึ้นมาเพื่อระงับเหตุเภพภัยทั้งหลายและนำพาความเป็นสิริมงคลสู่สมบัติจักรพรรดิแก่ผู้ที่จะนำพระพุทธปฏิมากรองค์นี้ไปสักการะบูชาโดยถวายพระนามตามชัยภูมิถิ่นกำเนิดว่า “พระพุทธมหาจักรพรรดิอมรรัตนศรีสุวรรณภูมิ” นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากจิตรกรเอกชื่อดัง อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และอ.สุชาติ แซ่จิว บรมครูด้านประติมากรชื่อดัง เป็นผู้รังสรรค์ปั้นแต่งพระพุทธปฏิมากรองค์ต้นแบบนี้ ด้วยความประณีต วิจิตรบรรจง งดงาม ตระการตาและอลังการเป็นที่สุด ทั้งนี้เพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าแด่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมจัดสร้างที่พักสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์ ณ วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง
ดังนั้น “พระพุทธมหาจักรพรรดิอมรรัตนศรีสุวรรณภูมิ” จึงถือได้ว่าเป็นพระพุทธปฏิมากรที่ทรงคุณค่าเป็นที่สุดในทุกๆ ด้าน สมควรอย่างยิ่งที่ต้องมีไว้เป็นพระประจำตัว ประจำบ้าน ประจำตระกูลเพื่อระงับเหตุเภพภัยและให้ผู้ที่สักการะบูชาเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสู่สมบัติจักรพรรดิสมดังปารถนา เป็นมรดกสืบต่อไปยังลูกหลานในวันข้างหน้า และเพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
ครุฑรุกสวรรค์
ครุฑรุกสวรรค์
ครุฑรุกสวรรค์ นำพาโถน้ำอมฤตสู่ชีวิตอมตะ
ตามคติโบราณว่าไว้ ผู้ใดอยากได้อำนาจ วาสนา บารมี ทรัพย์สินเงินทองให้บูชาพญาครุฑ เนื่องจากพญาครุฑนั้นเป็นตัวแทนแห่งความดี ความซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณ เปี่ยมด้วยคุณธรรม และเป็นผู้ทรงพลังอำนาจเหนือกว่าผู้ใดอีกทั้งยังเป็นพาหนะของพระนารายณ์ และได้รับพรให้เป็นอมตะไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งวัชระหรือสายฟ้าของพระอินทร์ จะทำได้ก็เพียงแต่ทำให้ขนปีกของครุฑหลุดร่วงลงเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ครุฑมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" อันหมายถึง "ผู้มีปีกอันวิเศษงดงามทรงพลัง" ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ อาศัยอยู่ ณ วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาแหลมคม อ่อนน้อมถ่อมตน ในมหากาพย์อย่างมหาภารตะนั้นเล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแต่ต่อมาภายหลังเกิดทะเลาะกันเลยกลายเป็นศัตรูกัน โดยครุฑและนาคนั้น เป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร มารดาของครุฑนั้นคือนางวินตา ส่วนมารดาของนาคคือนางกัทรุ ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพ ที่เกิดขึ้นในคราวกวนเกษียรสมุทรซึ่งเป็นสมบัติของ พระอินทร์ โดยพนันกันว่าหากใครแพ้ต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลาห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าม้าสีดำ ความจริงม้านั้นเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ นางวินตาไม่ทราบในกลอุบายเลยต้องยอมแพ้และตกเป็นทาสของนางกัทรุเป็นเวลาถึงห้าร้อยปี ต่อมาภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาของตนต้องตกเป็นทาสจึงคิดที่จะหาทางช่วยเหลือมารดา นางกัทรุจึงได้ให้ครุฑไปเอาน้ำอมฤตมาให้แก่พวกนาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงได้บินขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อเอาน้ำอมฤตจึงเกิดการต่อสู้กันระหว่างพระอินทร์และเหล่าทวยเทพเทวาทั้งหลายที่ติดตามมาฝ่ายเทวดานั้นไม่สามารถเอาชนะได้ พระอินทร์จึงได้ใช้วัชระซึ่งเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้โจมตีครุฑแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรครุฑได้แม้แต่น้อย ฝ่ายครุฑได้สลัดขนของตนให้หล่นลงเพียงเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบเหตุก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และได้สู้รบกันต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระนารายณ์ได้มอบน้ำอมฤตให้ด้วยเหตุที่ครุฑมีความกตัญญูต่อมารดาและประทานพรแก่ครุฑให้เป็นอมตะและยังให้ครุฑอยู่สูงกว่าเมื่อพระองค์ทรงประทับบัลลังก์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะขอเป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ตลอดไป
น้ำอมฤตนั้นมีคุณวิเศษเป็นอย่างยิ่งจะเกิดขึ้นจากการกวนเกษียรสมุทร โดยมีพระวิษณุเทพเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการทำการเคลื่อนย้ายภูเขามันทระ ซึ่งเป็นภูเขาที่เป็นแหล่งกำเนิดมณีนพรัตน์ แต่เนื่องจากเทวดาฝ่ายเดียวไม่สามารถกวนเกษียรสมุทรให้สำเร็จได้จึงต้องชักชวนเหล่าอสูรมาร่วมมือกัน ต้องทำให้ทะเลน้ำนมกระเพื่อมจึงจะเกิดเป็นน้ำอมฤตและต้องใช้ลำตัวพญานาควาสุกรีมาพันรอบภูเขามันทระ จากนั้นต่างฝ่ายต่างดึงให้ภูเขาสั่นไหวจนทะเลน้ำนมกระเพื่อม ซึ่งต้องใช้เวลานานนับพันปีกว่าจะได้น้ำอมฤต ระหว่างนั้นภูเขามันทระถูกปั่นจวนจะทะลุพื้นโลกร้อนถึงพระนารายณ์ต้องอวตารเป็นเต่าเอากระดองมารองรับภูเขาไว้ไม่ให้โลกแตก ดังนั้นน้ำอมฤตจึงมีคุณวิเศษอย่างยิ่งเมื่อผู้ใดได้ดื่มแล้วจะเป็นอมตะมีพละกำลังมหาศาล
ครุฑรุกสวรรค์ จากตำนานความเชื่อสู่งานจิตรกรรมและประติมากรรมอันทรงคุณค่าแห่งพญาครุฑผู้ทรงพลังอำนาจ หนุนดวงชะตา เสริมบารมี กลับร้ายกลายเป็นดี นำพาผู้ศรัทธาสู่ความมั่งคั่ง รุ่งเรือง “ครุฑรุกสวรรค์” เป็นผลงานประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านพญาครุฑในลักษณะกึ่งคนกึ่งเทพคือมีลำตัวเป็นคนมีหัวและขาเป็นนกตามแบบสากลนิยม ลักษณะกระพือปีกอันทรงพลังสามารถเกิดเป็นพายุหมุนหอบเอาโถน้ำอมฤตอันมีคุณวิเศษขึ้นมา ข้างโถน้ำอมฤตยังมีขนปีกของครุฑที่สลัดไว้อยู่เส้นหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ให้เกียรติแก่ผู้สมควรได้รับเกียรติเนื่องด้วยพระอินทร์นั่นคือผู้ทำหน้าที่ปกป้องสวรรค์ โดยผลงานดังกล่าวสืบเนื่องจากแนวคิดจาก อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานแห่ง Artmulet และ ดร.ทรงพล เขมะบูลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ผ่านจิตรกรเอกอย่าง อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากรดังอย่าง อ.สุชาติ แซ่จิว โดยศิลปินทั้งสองท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงาน “ครุฑรุกสวรรค์” ในครั้งนี้ ได้งดงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งเส้นสายที่พลิ้วไหวต่อเนื่องทรงพลังอำนาจและลงตัวอย่างที่สุดเหมาะอย่างยิ่งสำหรับมีไว้เป็นเครื่องเจริญสติเป็นมรดกสืบทอดไปยังลูกหลานในภายหน้าและเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ
พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ
พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ หนุนดวงชะตา เสริมวาสนาบารมี ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต
พระพิชัยสงคราม
ตำราพิชัยสงคราม เป็นตำราที่ว่าด้วยยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่างๆ เพื่อเอาชนะข้าศึกศัตรูในยามสงคราม ซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาต่อมาในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้มีการชำระขึ้นใหม่เป็นตำรับ “พิชัยสงครามฝ่ายทัพ” อีกทั้งยังมีตำรับ “พิชัยสงครามฝ่ายโหร” ซึ่งเป็นตำราที่รวบรวมความรู้ด้านโหราศาสตร์ พุทธาคมที่ค้นพบกันในสมัยหลัง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ตำราพิชัยสงคราม จัดได้ว่าเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่สำคัญทางวัฒนธรรมของชาติ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้จะหาผู้รู้ที่จะสามารถอธิบายถึงองค์ความรู้ดังกล่าวได้ยากเต็มทีก็ตาม ส่วนมูลเหตุของการสร้าง “พระพิชัยสงคราม” นั้น มาจากตำรับพระพิชัยสงครามฝ่ายโหร ซึ่งได้กล่าวถึงการสร้างและบูชาดวงพระชันษาขององค์พระมหากษัตริย์ในอดีต โดยจะจัดทำเป็นแผ่นทองดวง 2 ดวง โดยดวงหนึ่งบรรจุใน “ยันต์พิชัยสงคราม” แบบเพชรพยุหะล้อมรอบด้วยอักขระ 3 ชั้น เป็นพระมหาประเจียดใหญ่ ซึ่งต้องสักการะบูชาด้วยเครื่องบูชามงคลอยู่เสมอ และเมื่อเวลาที่พระองค์จะทรงเสด็จออกศึกสงครามหรือเมื่อเวลาที่พระองค์จะทรงเสด็จไปที่ใด เมื่อนำดวงพระชันษานั้นไปด้วย เชื่อว่าจะทำให้พระองค์ทรงมีตบะ เดชะ บารมีคุ้มครองป้องกันภัยได้นานับประการ ในส่วนอีกดวงหนึ่งนั้น บรรจุดวงชะตาแบบจักรราศีล้อมรอบด้วยอักขระ 3 ชั้น แล้วนำไปบรรจุในไม้ง่าม เพื่อค้ำพระศรีมหาโพธิ์ อันมีนัยยะประดุจดังถูกข้าศึกล้อมไว้ถึง 3 ชั้น แต่ก็จะ “กลับร้ายให้กลายเป็นดี” นอกจากนี้ยันต์พิชัยสงครามยังเป็นยันต์ที่เคยใช้ในการบรรจุดวงชะตาพระนคร เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล มั่นคงถาวรแก่บ้านเมือง อีกทั้งการลงดวงพระชันษาของพระมหากษัตริย์ในอดีตนั้นก็เพื่อให้พระองค์ทรงมีพระชนม์พรรษายิ่งยืนนาน โดยสรุปแล้วการลงดวงชะตาตามตำรับพระพิชัยสงครามแต่เดิมนั้นเป็นการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับราชการสงคราม ชะตาบ้านเมือง และองค์พระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ ต่อมาในภายหลังได้มีโหราจารย์ ได้นำพิธีกรรมการบรรจุดวงชะตาในยันต์พิชัยสงครามมาประกอบพิธีดังกล่าวให้กับเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จนถึงคหบดีและประชาชนทั่วไป เพื่อให้ผู้ที่มียันต์พิชัยสงครามบูชาประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
ต่อมาจึงได้มีการสร้างพระพิชัยสงครามขึ้น เป็นพระพุทธรูปยืนปาง “ห้ามสมุท” ซึ่งมีนัยยะถึง “สมุทัย” อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ และเมื่อห้ามสมุทแล้ว ทุกข์ทั้งหลายจึงหมดสิ้นไป โดยคติเดิมการสร้างพระพิชัยสงครามนั้น จะใช้ไม้ศรีมหาโพธิ์นิพพานคือ กิ่งตายที่หักตกลงมาเอง นำมาแกะเป็นองค์พระ ให้มีขนาดความสูงจากพระบาทไปถึงพระเมาลีประมาณ 11-13 นิ้วหัวแม่มือของผู้สร้าง และให้มีเดือยใต้ฐานพระบาทสำหรับยึดแผ่นรองพระบาทด้วยไม้ไผ่สีสุก เปลวรัศมีใช้ไม้ชุมแสง แผ่นรองพระบาทใช้ไม้นนทรี ส่วนแท่นรองพระบาทใช้ไม้ขนุนแกะ คว้านใต้ฐานให้กลวงเพื่อใช้สำหรับบรรจุดวงพระพิชัยสงคราม ซึ่งต้องพับเป็นรูปดอกบัว พร้อมทั้งบรรจุสิ่งของมงคล เครื่องยา ตามตำรับการสร้างพระพิชัยสงคราม
อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ปรมาจารย์ด้านไสยเวทย์ พุทธาคมและโหราศาสตร์ จัดได้ว่าเป็นผู้ที่เผยแพร่การสร้างพระพิชัยสงครามที่มีความสำคัญท่านหนึ่ง ได้อธิบายถึงการสร้างพระพิชัยสงครามว่า การสร้างพระบรรจุดวงชะตานั้น องค์พระเปรียบประดุจเป็นตัวรถยนต์ การบรรจุดวงชะตาเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ มีแรงศรัทธาเปรียบเสมือนน้ำมัน หากตัวรถยนต์ไม่มีเครื่องก็ไม่สามารถแล่นไปได้ แต่ถึงมีเครื่องแต่ถ้าไม่มีน้ำมันซึ่งก็คือแรงศรัทธาแล้วไซร้ รถก็ไม่สามารถแล่นไปได้เช่นกัน แต่หากมีครบองค์ประกอบดังกล่าว รถยนต์ย่อมแล่นถึงที่หมายโดยบรรลุผลดังที่หวังได้สำเร็จ การสร้างพระบรรจุดวงชะตานี้ ได้มีการกระทำกันมาแล้วหลายสำนักด้วยกัน เช่น วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มา) วัดกลางบางแก้ว โดยท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก หลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) ซึ่งกระทำตามตำราของท่านพระเทวโลกโหรหลวงคนสำคัญ
ด้วยความสำคัญดังกล่าวนี้ Artmulet โดยอ.ธนทัศน์ ทองเนียม ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารงานพุทธเทวศิลป์ และดร.ทรงพล เขมะบุลกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์สังคมและการเมือง ที่ปรึกษาโครงการ และคณะกรรมการวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง จึงมีมติเห็นตรงกันว่า สมควรให้มีการจัดสร้าง “พระพิชัยสงคราม” ขึ้นมาเพื่อหนุนดวงชะตาชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่จะนำพระพิชัยสงครามไปสักการะบูชาโดยถวายพระนามตามชัยภูมิถิ่นกำเนิดว่า “พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ” นอกจาก Artmulet จะเล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดสร้างพระพิชัยสงครามแล้ว โดยที่ผ่านมาผลงานของ Artmulet ได้เน้นให้ความสำคัญกับงานศิลป์ชั้นสูงมาโดยตลอด จึงได้มีการประยุกต์การสร้างพระพิชัยสงครามจากองค์พระที่ต้องสร้างด้วยไม้พระศรีมหาโพธิ์นิพพานไปสู่โลหะสัมฤทธิ์ที่ทรงคุณค่าและมีความศักด์สิทธิ์อยู่ในตัว นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากจิตรกรเอกชื่อดัง อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และอ.สุชาติ แซ่จิว บรมครูด้านประติมากรชื่อดัง เป็นผู้รังสรรค์ปั้นแต่งพระพุทธปฏิมากรองค์ต้นแบบนี้ ด้วยความประณีต วิจิตรบรรจง งดงาม ตระการตาและอลังการเป็นที่สุด โดยมีพุทธลักษณะในแบบพระพุทธรูปยืน ปางห้ามสมุท (ห้ามทุกข์) ทรงเครื่องใหญ่ในแบบพระเจ้าจักรพรรดิ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวง เพื่อให้ “พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ” มีความงดงามอลังการเป็นที่สุด โดยภายในฐานขององค์พระพุทธรูปนั้นจะทำการบรรจุ “ดวงพิชัยสงคราม” ที่ลงดวงมาอุจจ์ อีกทั้งยังต้องประกอบไปด้วยพิธีกรรมทางโหราศาสตร์ พุทธาคม รวมทั้งอักขระเลขยันต์ ฤกษ์ยามโดยได้มีการประยุกต์รูปแบบการบรรจุดวง ซึ่งแต่เดิมจะบรรจุดวงชะตาของผู้ที่จะนำไปสักการะบูชา เป็นการบรรจุดวงมหาอุจจ์ในยันต์พระพิชัยสงครามแทน ซึ่งจะสะดวกต่อหลายท่านที่ต้องการนำพระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิไปบูชา แต่ตนเองไม่ทราบเวลาเกิดที่แน่ชัด ดวงมหาอุจจ์นี้ทางโหราศาสตร์ว่าไว้เมื่อผู้ใดมีดวงมหาอุจจ์ในดวงชะตาของตนเองแล้วไซร้ ผู้นั้นจะได้ขึ้นเป็นใหญ่สู่จุดสูงสุดของชีวิตในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้เพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าแด่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมจัดสร้างที่พักสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์ ณ วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง
ดังนั้น “พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ” จึงถือได้ว่าเป็นพระพุทธปฏิมากรที่ทรงคุณค่าเป็นที่สุดในทุกๆด้าน สมควรอย่างยิ่งที่ต้องมีไว้เป็นพระประจำตัว ประจำบ้าน ประจำตระกูลเพื่อให้ผู้ที่สักการะบูชาขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต เป็นมรดกสืบต่อไปยังลูกหลานในวันข้างหน้า และเพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
นารายณ์พลิกแผ่นดิน
นารายณ์พลิกแผ่นดิน
นารายณ์พลิกแผ่นดิน พลิกชีวิต พลิกชะตา สู่อำนาจ วาสนา บารมี
พระนารายณ์นั้นถือเป็นองค์เทพสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ลัทธิไวษณพนิกายถือเป็นผู้ที่มีฤทธิ์เดชมีอำนาจมีความเก่งกล้าสามารถเป็นอย่างมากสามารถอวตารหรือแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ตามแต่วาระที่ต้องการ ส่วนในทางพุทธนั้น คำว่า “นารายณ์พลิกแผ่นดิน” ถือเป็นวิชาที่ใช้ลงอักขระเลขยันต์เช่นยันต์นารายณ์พลิกแผ่นดิน สวดท่องเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ คะ พุท ปัน ทู ทัม วะคะ ใช้พลิกชีวิต พลิกชะตา จากร้ายกลายเป็นดี ตามแต่ใจปรารถนามาแต่ครั้งโบราณ ดังนั้นที่มาของพระนาม “นารายณ์พลิกแผ่นดิน” ในทางพุทธนั้นจึงถือว่ายิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ ส่วนในพราหมณ์-ฮินดูนั้นต้องขอกล่าวถึงตอนนารายณ์อวตารเป็น วราหะ เป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นหมูป่าเพื่อสังหารหิรันตยักษ์ที่ม้วนเอาแผ่นดินไป หิรันตยักษ์เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมากทั้งยังข่มเหงเหล่ามนุษย์โลกมากมาย พระนารายณ์จึงอวตารเป็นวราหะครึ่งคนครึ่งหมูป่าไล่ขวดหิรันตยักษ์แล้วสังหารด้วยการฟาดด้วยกระบอง ส่วนมหากาพย์รามเกียรติ์ หิรันตยักษ์คือพญายักษ์ที่บำเพ็ญเพียรด้วยการ บูชาพระอิศวร ผู้สถิต ณ เขาไกรลาส จนได้รับพรให้มีฤทธิ์เดชมากมายทั้งมนุษย์และเทวดาใครฆ่าก็จะไม่ตายสามารถม้วนแผ่นดินได้ ด้วยความกำเริบและคิดว่าตนนั้นมีฤทธิ์มากไม่มีผู้ใดทัดเทียม แม้แต่ฤาษี นักพรต เทวดา ต่างก็พากันเกรงกลัวต่อหิรันตยักษ์ เพื่อแสดงฤทธิ์เดชให้ทั้งสามโลกได้รับรู้หิรันตยักษ์จึงทำการม้วนแผ่นดินแล้วหนีบไว้กับตัวลงไปยังเมืองบาดาลเพื่อให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลายเดือดร้อนกันไปทั่ว ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องเสด็จลงไปยังเมืองบาดาล เห็นหิรันตยักษ์ม้วนแผ่นดินหนีบไว้ ก็แปลงร่างเป็นพญาหมูป่าเข้าไล่ขวิดต่อสู้กับหิรันตยักษ์ ในที่สุดพญาหมูป่าก็ไล่ขวิดหิรันตยักษ์ด้วยเขี้ยวเพชรจนตัวขาดหัวขาดสิ้นใจตายลงทันที แล้วพญาหมูป่าหรือพระนารายณ์อวตารก็พลิกเอาผืนแผ่นดินคืนสู่ความสุขสงบร่มเย็นแก่มนุษย์และเทวดาดังเดิม
จากตำนานเรื่องราวแห่งความเชื่อความศรัทธาขององค์พระนารายณ์ผู้เป็นใหญ่ด้วยฤทธิ์เดชและอำนาจเหนือกว่าผู้ใดในสามโลกสู่ผลงานประติมากรรมอันทรงคุณค่าที่มีศิลปะอันงดงามสุดอลังการ ด้วยพระนามอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ “นารายณ์พลิกแผ่นดิน” ด้วยการรังสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งองค์นารายณ์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาลด้วยรูปแบบศิลปะไทยลักษณะทรงเครื่องเต็มยศมีพระพักตร์ที่สงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยพลังแห่งฤทธิ์เดชและอำนาจแต่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา พระหัตถ์ซ้ายบนทรงสังข์สัญลักษณ์ของการมีชื่อเสียงคุณธรรมความดีปรากฏไปทั้งสามโลก พระหัตถ์ขวาบนทรงจักรสัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไปข้างหน้าขจัดปัญหาอุปสรรคทั้งปวง พระหัตถ์ขวาล่างทรงกระบองสัญลักษณ์ของการทำลายสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย พระหัตถ์ขวาล่างทรงศรนารายณ์สัญลักษณ์แห่งการพุ่งตรงไปยังเป้าหมายสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ส่วนบริเวณฐานเป็นฐานทรงกลมบัวคว่ำบัวหงาย ฐานชั้นล่างเป็นลวดลายน้ำ ด้านหน้ามีสัญลักษณ์ของหมูป่าเขี้ยวโง้งยาวอันเป็นที่มาของปางวราหะ “นารายณ์พลิกแผ่นดิน” ดังนั้นผลงานประติมากรรมแห่งศรัทธาครั้งนี้ จึงเป็นผลงานอันเกิดขึ้นจากการประยุกต์เรื่องราวแห่งศรัทธาอันจะนำมาเป็นเครื่องเจริญสติแก่ผู้ที่ได้มีไว้ในครอบครองและเพื่อเป็นสมบัติของวงศ์ตระกูลสืบต่อไป โดยผลงานดังกล่าวนี้เป็นเรื่องราวอันมีความต่อเนื่องจากผลงาน “นารายณ์แปลงรูป” มหาเทพองค์สูงสุดตามลัทธิไวษณพนิกายที่ทาง ARTMULET นั้นได้เคยจัดสร้างไว้แล้ว จากแนวคิดของ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานแห่ง ARTMULET และ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากร อ.สุชาติ แซ่จิว สองศิลปินผู้รังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างงดงามสุดอลังการน่าอัศจรรย์ทั้งรายละเอียดที่ดูอ่อนช้อยงดงามพริ้วไหวแต่ทรงพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย ทั้งหมดนี้เพื่อมอบไว้แด่ผู้ที่มีจิตศรัทธาในการร่วมสร้างที่พักและสถานปฏิบัติธรรม วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทองและฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
มหาเทวีศรีอุมาคเณศวรราชสีห์
มหาเทวีศรีอุมาคเณศวรราชสีห์
มหาเทวีศรีอุมาคเณศวรราชสีห์ ผู้ประทานอำนาจแห่งเมตตาบารมี สยบอำนาจทั้งหลายในจักรวาล
พระอิศวรหรือพระศิวะนั้นทรงมีพระแม่อุมามหาเทวีเป็นอัครมเหสีคู่บารมีที่มีความงดงามยิ่งนักและมีบุตรด้วยกันสองพระองค์คือขันทกุมารผู้เป็นพี่และพิฆเนศผู้เป็นน้องซึ่งทั้งสองพี่น้องนั้นถือเป็นผู้ที่มีฤทธิ์เดชเป็นอย่างมากโดยเฉพาะองค์พิฆเนศนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศได้รับการยกย่องให้เป็นเทพแห่งความสำเร็จ ส่วนขันทกุมารนั้นถือเป็นเทพแห่งชัยชนะในการสู้รบ พระแม่อุมามหาเทวีนั้นเป็นพระมารดาผู้เป็นใหญ่และได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งความรักของชาวฮินดู ว่ากันว่าหากใครหมั่นบูชาพระองค์อย่างสม่ำเสมอ พระแม่อุมามหาเทวีก็จะทรงประทานยศถาบรรดาศักดิ์และความเป็นใหญ่ให้แก่ผู้นั้น ท่านจึงได้รับความเคารพและความศรัทธาจากผู้คนทั้งหลายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการขึ้นสู่อำนาจ วาสนา บารมี มีความรักและครอบครัวที่สมบูรณ์ พระองค์จะทรงประทานชัยชนะเหนือศัตรู ทำลายสิ่งชั่วร้าย ตลอดจนประทานบริวารและอำนาจในการปกครอง รวมไปถึงความสุขสมบูรณ์ในการครองเรือน ประทานบุตรที่เป็นคนดีเฉลียวฉลาดและเพียบพร้อมด้วยวาสนาบารมี ทรงคุ้มครองหญิงตั้งครรภ์ให้คลอดง่าย ตลอดจนแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ดังนั้นผู้มีจิตศรัทธาจึงพากันสักการะบูชาและขอพร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความรักและการขอบุตร สรุปความได้ว่าเมื่อผู้ใดเป็นผู้กระทำความดีและมีจิตศรัทธาอย่างมุ่งมั่นต่อองค์พระอิศวรและพระแม่อุมามหาเทวีแล้วไม่ว่าจะขอพรในเรื่องใดก็จะสำเร็จได้สมดังใจปรารถนาตามกำลังบุญและศรัทธาที่ได้สั่งสมไว้อย่างแน่นอน จากเรื่องราวแห่งความเชื่อความศรัทธาของอัครมเหสีแห่งมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในสามโลก ผู้อยู่เหนือกาลเวลาผู้สถิต ณ เขาไกรลาสแกนกลางของจักรวาลสู่ผลงานประติมากรรมอันทรงคุณค่าที่มีศิลปะอันงดงามสุดอลังกาล พระนาม “มหาเทวีศรีอุมาคเณศวรราชสีห์”
มหาเทวีศรีอุมาคเณศวรราชสีห์ ถือเป็นตัวแทนแห่งผู้ที่อยู่เหนือเจ้าผู้ปกครองทั้งหลายสมบูรณ์ด้วยอำนาจเหนืออำนาจทั้งปวงด้วยมหาบารมีแห่งความรักความอบอุ่นและพระเมตตาที่แผ่ไปทั่วทั้งจักรวาลเหนือกาลเวลา เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม ความดี มีพระเมตตาต่อทุกสรรพชีวิต เป็นต้นแบบแห่งผู้ที่อยู่เหนือเจ้าผู้ปกครองทั้งหลาย และยังทรงเป็นผู้ทำลายล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่มีอยู่สู่ความสุขสมบูรณ์ต่อผู้ที่มีจิตศรัทธาอย่างแท้จริง
จากตำนานแห่งความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งพระอัครมเหสีขององค์อิศวรมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้อยู่เหนือกาลเวลาและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล ในรูปแบบศิลปะไทย ที่มีพระพักตร์ยิ้มแย้มดูอิ่มเอิบและอบอุ่นด้วยความสุขจากภายในสู่ภายนอก มีพระพักตร์ที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาด้วยพระสิริโฉมอันงดงามอย่างยิ่ง พระหัตถ์ซ้ายทรงประคององค์พิฆเนศน้อยที่ดูน่ารักสมบูรณ์และเฉลียวฉลาดเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จทั้งปวง พระหัตถ์ขวาทรงประทานพรแก่ผู้ศรัทธา ทรงภูษาอาภรณ์ลายดอกพร้อมเครื่องทรงอิสริยยศแห่งอัครมเหสีขององค์มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในสามโลก ทรงอิริยาบถที่งดงามอ่อนช้อยประทับเหนือหลังพญาราชสีห์ที่มีมัดกล้ามอันทรงพลังอำนาจดูดุดันน่าเกรงขามอันเป็นสัญลักษณ์แห่งผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ยังคงทรงอิริยาบถที่งดงามอ่อนช้อย ส่วนองค์พิฆเนศน้อยนั้นพระหัตถ์ขวาบนทรงดอกบัวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองด้วยคุณงามความดีทั้งปวง พระหัตถ์ซ้ายบนทรงขวานสัญลักษณ์แห่งการฟันฝ่าทำลายอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้นไป พระหัตถ์ซ้ายล่างทรงขนมโมทกะสัญลักษณ์แห่งความสุขและความอุดมสมบูรณ์ พระหัตถ์ขวาล่างทรงประทานพรแห่งความสำเร็จทั้งหลายให้แก่ผู้ศรัทธาในพระองค์อย่างแท้จริง ส่วนพญาราชสีห์ที่มีมัดกล้ามอันทรงพลังนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งผู้มีอำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่ เป็นที่เกรงขามต่อศัตรูหมู่มารทั้งหลาย ดังนั้นผลงานประติมากรรมแห่งศรัทธา “มหาเทวีศรีอุมาคเณศวรราชสีห์” จึงเป็นผลงานอันเกิดขึ้นจากศรัทธาอันจะนำมาซึ่งความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่ผู้ที่ได้มีไว้ในครอบครองและเพื่อเป็นสมบัติของวงศ์ตระกูลสืบต่อไป โดยผลงานดังกล่าวนี้เป็นเรื่องราวอันมีความต่อเนื่องจากผลงาน อิศวรมหากาลไกรลาสบรรพต มหาเทพองค์สูงสุดตามลัทธิไศวนิกายที่ทาง ARTMULET นั้นได้เคยจัดสร้างไว้แล้ว จากแนวคิดของ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานแห่ง ARTMULET และ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากร อ.กฤษณะ นาพูนผล สองศิลปินที่สามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างงดงามสุดอลังการอย่างน่าอัศจรรย์ทั้งรายละเอียดที่ดูอ่อนช้อยงดงามพริ้วไหวแต่ทรงพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย และทั้งหมดนี้เพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของของคนไทยสืบไป
พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์
พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์
พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์ เปิดโลก เปิดดวงชะตา พบทางสว่างสู่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล
“พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์” เป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลกอันมีที่มาจากพุทธประวัติเมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำพรรษาเพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาจนครบพรรษาแล้วจึงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในครั้งนั้นพระองค์ทรงกระทำโลกวิวรณปาฏิหาริย์ คือ ทรงเปิดโลกทั้ง ๓ อันได้แก่ สวรรค์ มนุษย์ และบาดาลหรือยมโลก ได้มองเห็นกันทั้งหมดเพื่อร่วมกันอนุโมทนาบุญที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา แล้วจึงเสด็จลีลาลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่สังกัสสนคร ดังนั้นพระพุทธรูปองค์นี้จึงเป็นพระพุทธรูปปางเปิดโลกอันมีที่มาจากเรื่องราวตามพุทธประวัติอันเป็นมหามงคลประดุจดังเป็นการเปิดโลก เปิดดวงชะตาพบหนทางสว่างสู่ความเป็นมหามงคล
“พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์” พระนามอันมีที่มาจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ต้นราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัยอันเป็นอาณาจักรเริ่มแรกของคนไทย ในยุคต้นแห่งอาณาจักรสุโขทัยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้น พระพุทธรูปโดยส่วนใหญ่ยังคงยึดถือศิลปะขอมแบบบายน ตามคตินิยมที่ได้รับมาจากเขมร ถือได้ว่าพระพุทธรูปศิลปะขอมแบบบายนนั้นเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามคลาสสิก ได้รับความนิยมและมีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในอดีตจวบจนปัจจุบันพระพุทธรูปศิลปะขอมแบบบายนยังเป็นที่ต้องการของบรรดานักสะสมพระพุทธรูปเก่าเป็นอย่างมาก องค์ที่มีความสมบูรณ์นั้นเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากแล้ว ทางวัดขุนอินทประมูลจึงมีแนวคิดที่จะจัดสร้างพระพุทธรูปศิลปะขอมแบบบายนขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้วัดขุนอินทประมูลนั้นถือเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะจัดสร้าง “พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์” ในแบบศิลปะขอมแบบบายนขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนของเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา คณะกรรมการวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง ได้มอบหมายให้ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม เป็นประธานดำเนินงาน มี ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล เป็นที่ปรึกษาในโครงการจัดสร้าง “พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์” พระพุทธรูปปางเปิดโลกศิลปะขอมแบบบายนที่มีการประยุกต์เรื่องราวอันสื่อความหมายถึงการเปิดโลกเปิดดวงชะตานำพาหนทางสว่างแก่ผู้นำไปสักการะบูชา และต้องมีความงดงาม ประณีต วิจิตรบรรจง เพื่อมอบให้แก่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมสร้างที่พักสถานปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์ภายในวัดขุนอินทประมูล ไว้สำหรับเป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติและสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
“พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์” เป็นพระพุทธรูปศิลปะขอมแบบบายน มีพระพักตร์เหลี่ยม พระเนตรเบิกโพลง ประทับยืนพระหัตถ์ปางเปิดโลก ครองจีวรห่มคลุม สวมเครื่องทรงอันได้แก่ มงกุฎซึ่งประกอบ ด้วยรัดเกล้ากรวยและกระบังหน้า กุณฑลแหลม กรองศอ พาหุรัด รัดประคดและถบหน้านาง ตกแต่งด้วยเครื่องประดับ มีฐานรองพระบาทอยู่เหนือกลีบบัวคว่ำ ตามแบบพระพุทธรูปศิลปะลพบุรีแบบนครวัด มีฐาน ๓ ชั้นเปรียบเปิดดังพระพุทธองค์ทรงเปิดโลกทั้ง ๓ ฐานมีลักษณะขั้นบันไดทั้ง ๔ ด้าน ตามแบบบันไดทางขึ้นนครวัด “พระพุทธธรรมราชาอินทราทิตย์” ถือเป็นสุดยอดแห่งความเป็นมหาสิริมงคลเพื่อเปิดโลก เปิดดวงชะตาสู่หนทางสว่างเมื่อได้มีไว้บูชาและยังถือเป็นพระประจำตระกูล เพื่อความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลและเป็นมรดกสืบทอดไปยังลูกหลานในภายหน้า
พระชัยพุทธมหานาถ
พระชัยพุทธมหานาถ
พระชัยพุทธมหานาถ เจริญด้วยอายุ วัณโณ สุขัง พลัง เจริญด้วยความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล งดงามอลังการด้วยศิลปะขอมบายน
”พระชัยพุทธมหานาถ” วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง อันเป็นงานประติมากรรมศิลปะบายนหรือเรียกว่าศิลปะขอมที่มีความต่อเนื่องมาจากงานพระพุทธรูปในชุด “มหาไตรภาคี” และพระพุทธลีลานฤมิตมิ่งมงคล อันประกอบไปด้วยพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่ง พระพุทธรูปสุโขทัยและพระพุทธรูปอู่ทอง ดังนั้นจึงขาดเสียไม่ได้ถึงพระพุทธรูปในแบบศิลปะขอมและในบรรดาพระพุทธรูปในแบบขอมนั้น “พระชัยพุทธมหานาถ” เป็นพระพุทธรูปนาคปรกที่มีพญานาค ๗ เศียรและมีความเชื่อกันว่าพญานาคนั้นเป็นผู้ดูแลรักษาและปกป้องนครวัดให้เจริญรุ่งเรือง ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับความนิยมและมีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ แห่งอาณาจักรขอมมีการระบุว่าทรงสร้างพระชัยพุทธมหานาถส่งไปตามหัวเมืองขึ้น ๒๓ หัวเมือง เพื่อสักการะบูชารวมทั้งเมืองละโวทยปุระหรือละโว้หรือลพบุรีในปัจจุบันด้วย ปัจจุบันพระชัยพุทธมหานาถองค์ที่มีความสมบูรณ์นั้นเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากแล้ว ทางวัดขุนอินทประมูลจึงมีแนวคิดที่จะจัดสร้าง “พระชัยพุทธมหานาถ” ขึ้นมาใหม่ทั้งนี้จังหวัดลพบุรีและจังหวัดอ่างทองเป็นพื้นที่ติดต่อกันมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านจึงมีความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งวัดขุนอินทประมูลนั้นถือเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะจัดสร้าง “พระชัยพุทธมหานาถ” ขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนของเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา คณะกรรมการวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง ได้มอบหมายให้ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม เป็นประธานดำเนินงาน มี ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล เป็นที่ปรึกษาในโครงการจัดสร้าง“พระชัยพุทธมหานาถ” พระพุทธรูปนาคปรกศิลปะขอมที่มีการประยุกต์เรื่องราวอันสื่อความหมายถึงอาณาจักรอันเป็นที่มาของพระพุทธรูปนาคปรกองค์นี้ และต้องมีความงดงาม ประณีต วิจิตรบรรจง เพื่อมอบให้แก่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมสร้างที่พักสถานปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์ภายในวัดขุนอินทประมูล ไว้สำหรับเป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติและสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
พระชัยพุทธมหานาถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะขอม มีความงดงามตรงตามพุทธลักษณะทุกประการ มีพระพักตร์สี่เหลี่ยม พระเนตรเบิกโพลง พระขนงเป็นรูปปีกกา สวมเครื่องทรงแบบเทวรูป อันได้แก่กระบังหน้า รัดเกล้า และกุณฑล พระวรกายครองจีวรและเครื่องทรง ประทับเหนือเมืองนครวัดอันเป็นต้นกำเนิด พระชัยพุทธมหานาถ จนมาถึงเมืองละโว้ เศียรนาคมี ๗ เศียร เศียรกลางใหญ่ที่สุด เศียรด้านข้างหันเข้าหาเศียรกลาง หางของพญานาคม้วนเข้าหากันพันรอบเมืองประดุจดังคอยระวังป้องกันรักษาทั้งอายุ วัณโณ สุขัง พลังและนำพาความรุ่งเรืองมาสู่ผู้สักการะบูชา พระชัยพุทธมหานาถ ถือเป็นสุดยอดแห่งความเป็นสิริมงคลเมื่อได้มีไว้บูชาและยังถือเป็นพระประจำตระกูล เพื่อความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลและเป็นมรดกสืบทอดไปยังลูกหลานในภายหน้า
พระพุทธลีลานฤมิตมิ่งมงคล
พระพุทธลีลานฤมิตมิ่งมงคล
พระพุทธลีลานฤมิตมิ่งมงคล ก้าวหน้ามหามงคลสู่ชีวิตนิรมิตความรุ่งเรืองสู่ตระกูล
ย้อนสู่อดีตราว 700 ปีล่วงมาแล้ว หลังจากที่พ่อขุนรามคำแหงสิ้นพระชนม์ พระยาเลอไทพระราชโอรสได้ทรงเสวยพระราชสมบัติปกครองแผ่นดินสุโขทัยเรื่อยมากระทั่งในปีพุทธศักราช 1843 ท่านจึงได้ทรงเสด็จประพาสทางชลมารคพร้อมกับเหล่าข้าราชบริพาร เพื่อไปยังวัดเขาสมอคอนแห่งเมืองละโว้หลังจากเสร็จภารกิจแล้วจึงได้เสด็จกลับไปยังกรุงสุโขทัยระหว่างทางขบวนเรือพระที่นั่งได้ล่องเข้าสู่ลำน้ำในเขตหมู่บ้านบางพลับ(ตำบลอินทประมูล ในปัจจุบัน) ซึ่งขณะนั้นใกล้เวลาพลบค่ำจึงไม่เหมาะกับการเดินทาง ท่านจึงทรงสั่งให้ประทับแรม ณ บริเวณริมน้ำ ในคืนนั้นเองพระองค์ทรงพระสุบินนิมิตว่า ทรงเห็นดวงแก้วสุกสว่างไสวลอยขึ้นเหนือที่บรรทมของพระองค์ไปยังทิศตะวันออก เมื่อทรงตื่นจากบรรทมจึงทรงให้ปุโรหิตทำนายพระสุบินนิมิต ปุโรหิตได้กราบบังคมทูลว่า พระสุบินนิมิตนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี อันดวงแก้วสุกสว่างที่เห็นในฝันนั้น อาจเป็นพระบรมธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จแสดงปาฏิหาริย์ให้พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงทราบความว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองในสมัยแห่งพระองค์ จึงสมควรจะสร้างพระพุทธรูปไว้เป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่งพระองค์ได้เคยเสด็จมาประทับค้างแรมยังสถานที่แห่งนี้ พระองค์จึงทรงมีดำริให้สร้าง พระพุทธไสยาสน์ แบบก่ออิฐถือปูนขึ้นและทรงมีพระมหากรุณาโปรดให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในมหากุศลครั้งนี้ด้วย โดยใช้เวลาในการจัดสร้างทั้งสิ้น 6 เดือนจึงแล้วเสร็จและพระราชทานพระนามว่า “พระพุทธไสยาสน์ลือไทนฤมิต” ต่อมาในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้พระราชทานพระนามใหม่เป็น "พระพุทธไสยาสน์ขุนอินทประมูล" เพื่อเป็นที่ระลึกถึงขุนอินทประมูล นายอากรผู้บูรณะพระนอนองค์นี้ด้วยดวงจิตแห่งศรัทธาอันแรงกล้าเป็นที่เลื่องลือในรัชสมัยของพระองค์ ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งอดีตอันเป็นจุดเริ่มต้นของวัดขุนอินทประมูลแห่งนี้ คณะกรรมการวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง จึงได้มอบให้ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม เป็นผู้วางแนวทางในการจัดสร้างพระพุทธรูป ศิลปะสุโขทัย แท้ๆ ที่มีความงดงาม ประณีต วิจิตรบรรจง ขึ้นมาใหม่ โดยก่อนหน้านี้ได้จัดสร้างเป็นพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย ในครั้งนี้จึงได้ทำการจัดสร้างเป็นพระพุทธรูปปางลีลาอันถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของพระสุโขทัยที่จะขาดเสียมิได้ เพื่อมอบให้แด่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมสร้างที่พักสถานปฏิบัติธรรมและเสนาสนะ วัดขุนอินทประมูลรวมทั้งเพื่อเป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติและสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาและเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของของคนไทยสืบไป
พระพุทธลีลานฤมิตมิ่งมงคล จัดสร้างเป็นพระพุทธรูปปางลีลาศิลปะสุโขทัยหมวดใหญ่ ที่มีความงดงามอ่อนช้อยตรงตามพุทธลักษณะทุกประการ มีพระพักตร์รูปไข่ พระศอก้มเอียงมาทางซ้ายเล็กน้อย พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม ไม่มีไรพระศก พระองค์อ่อนช้อยงามสง่า มีจีวรบางๆ แนบติดพระวรกาย ครองจีวรห่มเฉียง เปิดพระอังสาขวามีชายสังฆาฏิพับพาดอยู่เหนือพระอังสาซ้าย ห้อยลงมาด้านหน้าจรดพระนาภี พระรัศมีเป็นรูปเปลวสะบัดต่อขึ้นไปจากพระเกศมาลา อันเชื่อว่าเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะลังกา นิ้วพระหัตถ์เป็นแบบธรรมชาติ คือปลายนิ้วพระหัตถ์ไม่เสมอกัน พุทธลักษณะก้าวไปข้างหน้า ประดิษฐานบนฐานเชิงบัวชั้นบนเป็นแบบกลีบบัวซ้อนกันสองชั้น ฐานชั้นล่างแบบฐานสิงห์ที่ให้ความงดงามลงตัวเป็นที่สุด
อิศวรมหากาลไกรลาสบรรพต
อิศวรมหากาลไกรลาสบรรพต
อิศวรมหากาลไกรลาสบรรพต มหาเทพผู้สมบูรณ์ด้วยมหาอำนาจเหนือกาลเวลา ผู้ทำลายสิ่งเลวร้ายสู่การเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ สุดอลังการ สง่างาม ทรงคุณค่า เหนือคำบรรยาย
“อิศวรมหากาลไกรลาสบรรพต” ถือเป็นตัวแทนแห่งเจ้าผู้ปกครองผู้สมบูรณ์ด้วยอำนาจเหนืออำนาจทั้งปวงด้วยมหาบารมีเหนือกาลเวลา เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม ความดี มีพระเมตตา ต่อทุกสรรพชีวิต มีความเฉลียวฉลาด ใช้สติและปัญญาในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาอันเป็นคุณสมบัติอันควรค่าแก่การเป็นต้นแบบแห่งเจ้าผู้ปกครองทั้งหลาย และยังทรงเป็นผู้ทำลายล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่มีอยู่สู่การเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ องค์อิศวรถือเป็นมหาเทพที่มีผู้เคารพสักการะบูชา อย่างมากมายมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจวบจนถึงปัจจุบัน
จากตำนานแห่งความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งองค์อิศวรมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ผู้อยู่เหนือกาลเวลาและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล เทวลักษณะเป็นศิลปะแบบไทย มีพระพักตร์ยิ้มอย่างอิ่มเอิบด้วยความสุขจากภายในสู่ภายนอก พระเกศาทรงปิ่นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว คล้องพระศอด้วยนาค พระนลาฏมีพระเนตรที่สามใช้ทำลายล้างสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่โลกยุคใหม่ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงประทานพรอันศักดิ์สิทธิ์สู่ความสมบูรณ์ด้วยอำนาจเหนือกาลเวลา พระหัตถ์ซ้ายทรงดอกบัวบานสัญลักษณ์แห่งการตื่นรู้และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พระหัตถ์ขวาบนทรงตรีศูลและบัณเฑาะก์สัญลักษณ์แห่งการอยู่เหนือทั้งสามโลกทั้งชายและหญิง พระหัตถ์ซ้ายบนทรงสังข์สัญลักษณ์แห่งการมีชื่อเสียงในคุณธรรมความดีงามที่ปรากฎไปทั้งสามโลก ประทับบนแผ่นหนังทั้งตัวและหัวเสือโคร่งสัญลักษณ์แห่งอำนาจเหนืออำนาจทั้งปวง สถิตเหนือยอดเขาไกรลาส อันประกอบไปด้วยโคนนทิพาหนะแห่งองค์อิศวรผู้เป็นเจ้าแห่งสัตว์สี่เท้าทั้งมวล ทั้งพญาราชสีห์บันลือสีหนาทสัญญาลักษณ์แห่งผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งกินรี สัญลักษณ์แห่งความงดงามมี เสน่ห์สมหวังในความรัก อีกทั้งเชิงเขาไกรลาสยังมีฐานรายล้อมด้วยสายน้ำแห่งป่าหิมพานต์ต้นกำเนิดแห่งความอุดมสมบูรณ์ต่อมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย อันจะนำมาซึ่งความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่ผู้ที่ได้มีไว้ในครอบครองและเพื่อเป็นสมบัติของวงศ์ตระกูลสืบต่อไป โดยผลงานดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารงานพุทธศิลป์อย่าง อ.ธนทัศน์ ทองเนียม และ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ แห่ง Artmulet ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้วและประติมากรชั้นครู อ.สุชาติ แซ่จิว สองศิลปินที่กำลังมาแรงอยู่ขณะนี้ โดยท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างงดงามสุดอลังการอย่างน่าอัศจรรย์ทั้งรายละเอียดที่ดูอ่อนช้อยงดงามพริ้วไหวแต่ทรงพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย และทั้งหมดนี้เพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของแผ่นดิน
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา พญายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ งดงามอลังการเหนือคำบรรยาย ผลงานการจัดสร้างโดย Artmulet
ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณพญายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ เป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์ เป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ คนจีนเรียกว่า "โต้เหวน" หรือ "โต้บุ๋น" ในศาสนาพุทธ รู้จักกันมากในนามว่า ท้าวเวสสุวรรณ อดีตชาติ ในยุคสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า ท้าวกุเวรเกิดเป็นพราหมณ์ ชื่อ กุเวรพราหมณ์ ร่ำรวยขึ้นมาจากการมีไร่อ้อยจำนวนมาก ได้สร้างศาลาที่พักให้กับผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาถึง 10 แห่ง และแจกน้ำอ้อยแก่ผู้ที่มาพัก เป็นผู้ที่ทำทานอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แต่ด้วยเหตุที่เป็นผู้มากด้วยโทสะจึงได้ไปเกิดเป็นพญายักษ์ มีชื่อว่าท้าวกุเวร มีผิวกายสีเขียว สีทอง และสีดั่งน้ำอ้อย ปกครองพวกยักษ์ อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทางด้านทิศเหนือ ท้าวกุเวรมีกระบอง เป็นอาวุธชื่อว่า มหากาล สามารถทำลายล้างโลกธาตุได้ มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ ปราสาททองคำ อาภรณ์มงกุฎประดับ ดำรงอิสริยยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ในทางพุทธศาสนา ท้าวกุเวร มีนามที่เรียกกันอีกหลายพระนามอาทิ พระชัมภละ พระธเนศวร พระธนบดี ฯลฯ ถือเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ท้าวกุเวรสถิตอยู่ณยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑปชื่อ "ภคลวดี" กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถานของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา พญายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ ในชุดเครื่องทรงอาภรณ์มงกุฎประดับ ดำรงอิสริยยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ ประทับบนบัลลังค์ทองประดับด้วยเพชรนิลจินดาแบบมหาราชลีลาอันหมายถึงผู้ที่นั่งอยู่เหนือกองมหาสมบัติทั้งหลาย มือซ้ายมีอาวุธเป็นกระบองมหากาลใช้ทำลายล้างปัญหาและอุปสรรคต่างๆให้สิ้นไป มือขวาถือไหทองคำดุจดังเงินไหลกองทองไหลมาไม่สิ้นสุด มือซ้ายบนถือโครตเพชรเม็ดงามแสดงถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ในทรัพย์สมบัติอันมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด มือขวาบนชี้นำทางสว่างสู่ความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ ดังนั้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสร้างคุณงามความดีและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในการฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายเพื่อนำไปสู่ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ไพศาลสมดังปรารถนา ทางคณะกรรมการผู้จัดสร้างโดย อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารงานพุทธศิลป์ แห่ง Artmulet และดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ได้มอบหมายให้ อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว จิตรกรเอกแห่งยุค เป็นผู้ออกแบบผลงานดังกล่าว และมอบให้ อ.กฤษณะ นาพูลผล ประติมากรเอกชื่อดัง เป็นผู้รังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ และเพื่อให้ผลงานในครั้งนี้มีความงดงามวิจิตรบรรจงใกล้เคียงองค์ต้นแบบมากที่สุดจึงได้มอบหมายให้โรงหล่อเอเชียไฟน์อาร์ต เป็นผู้รับผิดชอบการหล่อผลงานครั้งนี้ โดยหล่อด้วยโลหะบรอนซ์ออสเตเรีย (สำริด) เพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกเป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติแด่ผู้มีจิตศรัทธาที่ได้ร่วมกันบริจาคเงินในโครงการจัดสร้างที่พักและสถานปฏิบัติธรรม วัดขุนอินทรประมูล จ.อ่างทอง และมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของแผ่นดิน
พระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ
พระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ
พระพุทธรูปองค์นี้เกิดขึ้นจากความศรัทธาและปฏิปทาอันแรงกล้าที่มีต่อพระพุทธ ศาสนาในการที่จะสร้างพระพุทธรูปขนาดบูชาที่มีความงดงามเป็นที่สุดในแต่ละยุคสมัยเพื่อไว้เป็นเครื่องเจริญสติต่อบรรดาสาธุชนทั้งหลาย โดยที่ผ่านมานั้นได้เริ่มสร้างพระพุทธสิงหอินทราชาบดีหรือพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่งซึ่งถือเป็นที่สุดในความงามของพระพุทธรูปในแบบศิลปะล้านนา ต่อมาได้สร้างพระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคลพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยหมวดใหญ่ซึ่งถือเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามอ่อนช้อยโดดเด่นเป็นที่กล่าวขานและรู้จักกันดีในบรรดานักสะสมพระพุทธรูปทั้งหลาย และขณะนี้ได้มีการจัดสร้างพระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง ที่ได้รับการกล่าวขานถึงความงดงามในพุทธลักษณะที่ดูเข้มขลัง ก่อให้เกิดสติและความมั่นคงในอารมณ์ พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ถือเป็น “พระพุทธรูปชุดสุดยอดมหาไตรภาคี” ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งงานศิลปะพระพุทธรูปยุคคลาสสิกทั้งสามสมัย
พระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ เป็นพระพุทธรูปศิลปะอู่ทองยุคกลาง ที่ถือกำเนิดขึ้น ณ ดินแดนทุ่งโพธิ์ทอง อันเป็นที่ตั้งของวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง ในปัจจุบันและเป็นที่ประดิษฐานองค์ “พระพุทธไสยาสน์ลือไทยนฤมิต” ตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย และต่อมาได้รับพระราชทานพระนามใหม่โดยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยาเป็น “พระพุทธไสยาสน์ขุนอินทประมูล” เพื่อเป็นการตอบแทนศรัทธาอันแรงกล้าของขุนอินทประมูลที่มีต่อพระพุทธศาสนา ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงถือเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์และอุดมสมบูรณ์เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ จึงเป็นที่มาแห่งพระนามพระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ คณะกรรมการวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง ได้มอบหมายให้ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม เป็นประธานดำเนินงาน มี ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล เป็นที่ปรึกษาในโครงการจัดสร้างพระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองแท้ๆ ที่มีความงดงาม ประณีต วิจิตรบรรจง เพื่อมอบให้แก่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมสร้างที่พักสถานปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์ภายในวัดขุนอินทประมูล ไว้สำหรับเป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติและสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
พระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะอู่ทองยุคกลาง ที่มีความงดงามตรงตามพุทธลักษณะทุกประการ มีพระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม พระขนงเป็นรูปปีกกา มีแถบไรพระศกเป็นเส้นคั่นระหว่างพระเกศากับพระนลาฎ ขมวดพระเกศาเล็กเป็นหนามขนุนอย่างชัดเจน พระอุษณีเป็นต่อมกลมเสมอ พระรัศมีเป็นรูปเปลวแบบแข็งกระด้าง พระองค์ค่อนข้างแข็งดูงามสง่าซึ่งถือเป็นลักษณะเด่นของพระอู่ทองที่ดี ครองจีวรห่มเฉียง สังฆาฏิเป็นแถบยาวจรดพระนาภีปลายเป็นเขี้ยวตะขาบ นิ้วพระหัตถ์แข็งและเป็นแบบธรรมชาติ คือปลายนิ้วพระหัตถ์ไม่เสมอกัน นั่งขัดสมาธิราบบนฐานสำเภาอันมีที่มาจากเรือสำเภาเก้าเสาของแม่ทัพเจิ้งเหอ มหาขันที ซำปอกง แห่งกองเรือมหาสมบัติจักรพรรดิแดนมังกร เมื่อครั้งนำกองเรือมหาสมบัติอันยิ่งใหญ่มาค้าขายขยายอิทธิพลทางการค้าแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของชาวไทยเชื้อสายจีนในเวลาต่อมา
พระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ ถือเป็นสุดยอดแห่งความเป็นสิริมงคลเมื่อได้มีไว้บูชาและยังถือเป็นพระประจำตระกูล เพื่อความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลและเป็นมรดกสืบต่อไปยังลูกหลานในภายหน้า
นารายณ์ทรงเมือง อนันตนาคราช
นารายณ์ทรงเมือง อนันตนาคราช
นารายณ์ทรงเมืองอนันตนาคราช ถือเป็นตัวแทนแห่งเจ้าผู้ปกครองผู้มากด้วยบารมีโดยสมบูรณ์ เปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณธรรม ความดีงาม มีความเฉลียวฉลาด เป็นผู้ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา อันเป็นคุณสมบัติอันควรค่าแก่การเป็นต้นแบบแห่งผู้ปกครองอย่างแท้จริง อีกทั้งยังทรงมีเทวานุภาพในการขจัดหมู่มารและสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย เป็นที่เคารพสักการะบูชามาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจวบจนถึงปัจจุบัน ส่วนพญาอนันตนาคราชนั้น ถือเป็นราชาแห่งพญานาคผู้เป็นใหญ่ในบาดาลนครและเกษียรสมุทร และยังเชื่อกันว่าเป็นอีกร่างหนึ่งขององค์พระนารายณ์ที่อวตารมาเป็นพญานาคราชผู้มีหน้าที่คอยรองรับแผ่นดิน และเป็นผู้ที่จะพ่นไฟทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายเพื่อก่อกำเนิดสิ่งใหม่ทั้งยังทรงเป็นเทพบัลลังก์แห่งพระนารายณ์ พญาอนันตนาคราชนั้นเป็นพญานาคผู้เลื่องชื่อในเรื่องของฤทธิ์เดช อำนาจ และบารมี โดยเฉพาะตามคติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ถือว่าพญาอนันตนาคราชเป็นที่สุดแห่งพญานาคทั้งปวง เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนทั้งหลาย มีพลังอำนาจ มากด้วยบารมี และเป็นที่ยอมรับมากที่สุด ดุจดังนามอันยิ่งใหญ่ “พญาอนันตนาคราช” นั่นเอง
จากตำนานแห่งความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งองค์พระนารายณ์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ขณะทรงครองเมืองเหนือมหาปราสาท พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงตรีสัญลักษณ์แห่งผู้เป็นใหญ่เหนือผู้อื่นใดในสามโลก พระหัตถ์ซ้ายทรงคฑาครุฑสัญลักษณ์แห่งผู้ทรงฤทธิ์อำนาจในการบัญชาการทั้งหลาย พระหัตถ์ขวาบนทรงจักรสัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไปข้างหน้าลบล้างสิ่งชั่วร้ายสร้างคุณธรรมความดี พระหัตถ์ซ้ายบนทรงสังข์สัญลักษณ์แห่งการมีชื่อเสียงในคุณธรรมความดีงามที่ปรากฏไปทั้งสามโลก มีองค์พญาอนันตนาคราชผู้เป็นราชาเหนือพญานาคทั้งปวงทรงเป็นบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ให้พระองค์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งอย่างหาที่สุดมิได้ พร้อมทั้งสายน้ำแห่งเกษียรสมุทรอันเป็นน้ำอมฤตที่จะนำพาความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลมาสู่วงศ์ตระกูลสืบไป
คเนศวรมหาเทวะ ปัญญาบารมี
คเนศวรมหาเทวะ ปัญญาบารมี
คเนศวรมหาเทวะ ปางปัญญาบารมี ขจัดอุปสรรคปัญหานำพาผู้ศรัทธาสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ งดงามอลังการเหนือคำบรรยาย
การเดินทางรอบโลกและจักรวาลเพื่อผลมะม่วง ครั้งหนึ่งพระแม่อุมา มารดาแห่งพระพิฆเนศวรและพระขันธกุมาร ได้นำเอาผลมะม่วงมาถวายแด่องค์พระศิวะมหาเทพผลหนึ่ง ปรากฏว่าลูกทั้งสองคือ พระพิฆเนศวร และ พระขันธกุมาร ต่างก็อยากจะเสวยมะม่วงผลนี้ด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้ องค์ศิวะมหาเทพ อยากทดสอบว่าลูกทั้งสองนี้ใครจะมีสติปัญญาเหนือกว่ากัน จึงได้กล่าวขึ้นว่า ใครก็ตามหากแม้นเดินทางรอบโลกได้ถึงเจ็ดรอบและกลับสู่วิมานแห่งนี้ได้ก่อนผู้นั้นจึงจะได้ผลมะม่วงนี้ ฝ่ายพระขันธกุมารเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบทรงนกยูงตระเวนรอบโลกทันที ฝ่ายพระพิฆเนศแทนที่จะเอาอย่าง กลับเดินประทักษิณรอบองค์พระศิวะมหาเทพผู้เป็นบิดาและพระแม่อุมาผู้เป็นมารดาของพระองค์จนครบเจ็ดรอบ แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า...."ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์ผู้สร้างโลก พระองค์ทั้งสองทรงเป็นบิดาและมารดาแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทำประทักษิณต่อพระองค์ทั้งสองเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศลเท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ" องค์ศิวะมหาเทพมีความยินดีในคำตอบเป็นอย่างยิ่งและกล่าวชื่นชมในสติปัญญาขององค์พระพิฆเนศวรว่า "เจ้าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมและมีสติปัญญาเป็นที่สุด สิ่งที่เจ้าได้กล่าวมานั้นเป็นจริงทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดได้มีปัญญาเป็นคุณสมบัติติดตัว แม้เมื่อโชคร้ายมาถึงเขาความโชคร้ายนั้นย่อมถูกกำจัดสิ้นด้วยปัญญา" แล้วจึงได้มอบผลมะม่วงนั้นให้กับองค์พระพิฆเนศวรในทันที
จากตำนานแห่งความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านจิตกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านองค์คเนศวรมหาเทวะในลักษณะก้าวเดินรอบโลกขณะที่พระพักตร์กำลังมีความสุขเมื่อกำลังใช้งวงถือขนมโมทะกะและพระหัตถ์ถือถ้วยขนมโมทะกะที่พระองค์ทรงโปรดปรานเปรียบดังความสุขความอุดมสมบูรณ์แห่งชีวิตพระหัตถ์ขวาถืองาและผลมะม่วงเปรียบดังสติปัญญาอันแหลมคมนำพาสู่ความสำเร็จทั้งปวง พระหัตถ์ซ้ายด้านบนถือเชือกบ่วงสำหรับคล้องใจผู้คนทั้งหลายให้เป็นที่รักที่เชื่อถือและศรัทธา พระหัตถ์ขวาบนถือขวานศักดิ์สิทธิ์สำหรับฟันฝ่าอุปสรรคทั้งปวงให้หมดสิ้นไป พระรัศมีด้านบนมีความโชติช่วงสว่างไสวและแหลมคมแทงทะลุปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายได้หมดสิ้นพระรัศมีด้านหลังตรงกลางเป็นตัวอักขระโอมอันศักดิ์สิทธิ์เป็นคำบูชามหาเทพในที่นี้เปรียบดังองค์ศิวะมหาเทพอันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลล้อมรอบด้วยเส้นประทักษิณถัดลงมาเป็นพระนามแห่งองค์ คเนศวรมหาเทวะ รายล้อมด้วยลวดลายแห่งอากาศธาตุอันสุญญตาคือความว่างอันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาบารมี สำหรับด้านล่างที่เป็นส่วนของฐานนั้นชั้นบนประกอบด้วยดาวโลกที่มีหนู มุสิกะอันเป็นผู้ศรัทธาในองค์คเนศวรมหาเทวะกำลังนั่งกินขนมโมทะกะที่พระองค์ทรงประทานให้ดุจดังผู้คนทั้งหลายที่มีศรัทธาต่อองค์คเนศวรมหาเทวะจะได้รับความสุขสมบูรณ์บนพื้นโลกใบนี้ บริเวณรอบโลกมีเปลวรัศมีแห่งอากาศธาตุทรายล้อมอยู่รอบด้านเปรียบดังสุญญตาคือความว่างอันนำมาสู่ปัญญาบารมี รอบฐานประกอบด้วยดวงดาวนพเคราะห์ทั้งหลายตามหลักโหราศาสตร์ ประกอบ ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ราหู เกตุ และ มฤตยู อันหมายถึงการหนุนชะตาเสริมบารมี ขจัดอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้นนำพาความสำเร็จมาสู่ผู้ศรัทธาในทุกดวงชะตาราศีเกิด
โดยผลงานดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารงานพุทธศิลป์อย่าง อ.ธนทัศน์ ทองเนียม และ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ แห่ง Artmulet ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้วและประติมากรดัง อ.กฤษณะ นาพูนผล สองศิลปินดาวรุ่งที่กำลังมาแรง โดยสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์เส้นสายลีลาที่พลิ้วไหวการย่างก้าวที่ต่อเนื่องลงตัวเหนือสุดแห่งคำบรรยาย
พระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคล
พระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคล
“พระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคล” อันเป็นผลงานศิลปะในรูปแบบงานประติมากรรมอันเกิดขึ้นจากความศรัทธาในความงดงามของพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย หนึ่งใน “พระพุทธรูปชุดสุดยอดมหาไตรภาคี” พระพุทธรูปองค์นี้เกิดขึ้นจากความศรัทธาและปฏิปทาอันแรงกล้าที่มีต่อพระพุทธศาสนาในอันที่จะสร้างพระพุทธรูปขนาดบูชาที่มีความงดงามเป็นที่สุดในแต่ละยุคสมัย ซึ่งประกอบไปด้วยพระพุทธสิงหอินทราชาบดีหรือพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์หนึ่งซึ่งถือเป็นที่สุดในความงามของพระพุทธรูปในแบบศิลปะล้านนา และพระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคลเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยหมวดใหญ่ถือเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามอ่อนช้อยโดดเด่นเป็นที่กล่าวขานและรู้จักกันดีในบรรดานักสะสมพระพุทธรูปทั้งหลาย สำหรับพระพุทธญาณมุนีอู่ทองสุวรรณภูมิ พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง ที่ได้รับการกล่าวขานถึงความงดงามในพุทธลักษณะที่ดูเข้มขลัง ก่อให้เกิดสติและความมั่นคงในอารมณ์ พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ถือเป็นสุดยอดแห่งงานศิลปะพระพุทธรูปยุคคลาสสิกทั้งสามสมัย
สำหรับพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัยจะมีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแต่ก็มีลักษณะในบางรายละเอียดแตกต่างกันทำให้มีการจำแนกพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัยออกเป็นหมวดต่างๆ ดังนี้ พระพุทธรูปสุโขทัย หมวดใหญ่, พระพุทธรูปสุโขทัย หมวดกำแพงเพชร, พระพุทธรูปสุโขทัย หมวดพระพุทธชินราช, พระพุทธรูปสุโขทัย หมวดพิษณุโลก, พระพุทธรูปสุโขทัย หมวดเบ็ดเตล็ด หรือ หมวดวัดตะกวน
พระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคล จัดสร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะสุโขทัยหมวดใหญ่ ที่มีความงดงามตรงตามพุทธลักษณะทุกประการ มีพระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม ไม่มีไรพระศก พระองค์ค่อนข้างอ่อนช้อยงามสง่า มีจีวรบางๆ แนบติดพระวรกาย ครองจีวรห่มเฉียง เปิดพระอังสาขวามีชายสังฆาฏิพับพาดอยู่เหนือพระอังสาซ้าย ห้อยลงมาด้านหน้าจรดพระนาภี พระรัศมีเป็นรูปเปลวต่อขึ้นไปจากพระเกศมาลา อันเชื่อว่าเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะลังกา นิ้วพระหัตถ์เป็นแบบธรรมชาติ คือปลายนิ้วพระหัตถ์ไม่เสมอกัน
พระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคล ถือกำเนิดขึ้นบนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธไสยาสน์ขุนอินทประมูล พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองศิลปะสุโขทัยที่สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งสมัยพระยาเลอไทพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสุโขทัย ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งอดีตอันเป็นจุดเริ่มต้นของวัดขุนอินทประมูลแห่งนี้ คณะกรรมการวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง จึงได้มอบหมายให้ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม เป็นประธานดำเนินงาน มี ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล เป็นที่ปรึกษาในโครงการในการจัดสร้างพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยแท้ๆ ที่มีความงดงาม ประณีต วิจิตรบรรจง ขึ้นมาใหม่ เพื่อมอบให้แด่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมสร้างที่พักสถานปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์ภายในวัดขุนอินทประมูล รวมทั้งเพื่อมีไว้เป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติและสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา เพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
พระพุทธราชานฤมิตมิ่งมงคล เหมาะสำหรับมีไว้บูชาเป็นพระประจำตระกูล เพื่อเป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติและมรดกสืบต่อไปยังลูกหลานสืบไป
พญาสุบรรณสีทันดร
พญาสุบรรณสีทันดร
“พญาสุบรรณสีทันดร” หรือคนส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม “พญาครุฑ” เป็นผลงานอันทรงคุณค่าที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อความศรัทธาและอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เป็นตัวแทนแห่งคุณงามความดี ความซื่อสัตย์ กตัญญู ทรงพลังอำนาจ และเชื่อกันว่าจะนำพาโชคลาภและทรัพย์สมบัติมาสู่ผู้ที่มีจิตศรัทธาอย่างแท้จริง
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกทั้งมวล และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ อาศัยอยู่ ณ วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งวัชระหรือสายฟ้าของพระอินทร์ จะทำได้ก็เพียงแต่ทำให้ขนปีกของครุฑหลุดร่วงลงเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" อันหมายถึง "ผู้มีปีกอันวิเศษงดงามทรงพลัง" ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาแหลมคม อ่อนน้อมถ่อมตน ในมหากาพย์อย่างมหาภารตะนั้นเล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแต่ต่อมาภายหลังเกิดทะเลาะกันเลยกลายเป็นศัตรูกัน โดยครุฑและนาคนั้น เป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร มารดาของครุฑนั้นคือนางวินตา ส่วนมารดาของนาคคือนางกัทรุ ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพ ที่เกิดขึ้นในคราวกวนเกษียรสมุทรซึ่งเป็นสมบัติของพระอินทร์ โดยพนันกันว่าหากใครแพ้ต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลาห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าม้าสีดำ ความจริงม้านั้นเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้ให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ นางวินตาไม่ทราบในกลอุบายเลยต้องยอมแพ้และตกเป็นทาสของนางกัทรุเป็นเวลาถึงห้าร้อยปี ต่อมาภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาของตนต้องตกเป็นทาสจึงคิดที่จะหาทางช่วยเหลือมารดา นางกัทรุจึงได้ให้ครุฑไปเอาน้ำอมฤตมาให้แก่พวกนาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงได้บินขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อเอาน้ำอมฤตจึงเกิดการต่อสู้กันระหว่างพระอินทร์และบรรดาทวยเทพเทวดาที่ติดตามมาฝ่ายเทวดานั้นไม่สามารถเอาชนะได้ พระอินทร์จึงได้ใช้วัชระซึ่งเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้โจมตีครุฑแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรครุฑได้แม้แต่น้อย ฝ่ายครุฑได้สลัดขนของตนให้หล่นลงเพียงเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบเหตุก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และได้สู้รบกันต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระนารายณ์ได้มอบน้ำอมฤตให้ด้วยเหตุที่ครุฑมีความกตัญญูต่อมารดาและประทานพรแก่ครุฑให้เป็นอมตะและยังให้ครุฑอยู่สูงกว่าเมื่อพระองค์ทรงประทับบัลลังก์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะขอเป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ตลอดไป
สีทันดร หรือมหานทีสีทันดร ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง หมายถึง ห้วงน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล 7 สาย 7 ชนิด มี น้ำนม น้ำนมส้ม น้ำเนย น้ำอ้อย น้ำเหล้า น้ำจืด และน้ำเค็ม ไหลผ่านคั่นระหว่างเทือกเขาทั้ง 7 ที่เรียกว่า สัตบริภัณฑ์ ซึ่งรายล้อมรอบเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล เป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ความกว้างใหญ่ของมหานทีสีทันดรนี้ มีแต่พญาสุบรรณที่มีพละกำลังมหาศาลเท่านั้นจึงสามารถบินข้ามมหานทีสีทันดรไปได้ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลอีกทั้งยังมีเทือกเขาคั่นของมหานทีสีทันดรนี้เอง จึงเปรียบดั่งเช่นอุปสรรคและปัญหาในชีวิตของคนเรา ที่บางครั้งต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างมาก เพื่อนำพาตัวเองข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาสู่ชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า ดังเช่นมหานทีทั้ง 7 สาย จึงผ่านพ้นไปได้ ดังนั้นกำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ตัวเองก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายได้ในที่สุด เพื่อให้ได้รับความสำเร็จสมดังปรารถนาในสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า
พญาสุบรรณสีทันดร จากตำนานความเชื่อสู่งานจิตรกรรมและประติมากรรมอันทรงคุณค่าแห่งพญาครุฑผู้ทรงพลังอำนาจ หนุนดวงชะตา เสริมบารมี กลับร้ายกลายเป็นดี นำพาผู้ศรัทธาสู่ความมั่งคั่ง รุ่งเรือง พญาสุบรรณสีทันดรเป็นผลงานประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านพญาครุฑในลักษณะกึ่งคนกึ่งเทพคือมีลำตัวเป็นคนมีหัวและขาเป็นนกตามแบบสากลนิยม ลักษณะกางปีกเหินเวหาทรงพลังอำนาจข้ามมหานทีสีทันดรที่พำนักอาศัยแห่งปลาอานนท์ผู้หนุนโลกขณะพลิกตัวสะบัดหางในมหานทีสีทันดร เกิดเป็นฟองน้ำเดือดพล่านผ่านกรงเล็บแห่งพญาสุบรรณสีทันดร
โดยผลงานดังกล่าวสืบเนื่องจากแนวคิดจาก อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานแห่ง Artmulet และ ดร.ทรงพล เขมะบูลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ผ่านจิตรกรเอกอย่าง อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากรดังอย่าง อ.กฤษณะ นาพูลผล โดยศิลปินทั้งสองท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างงดงามน่าอัศจรรย์ด้วยเส้นสายลีลาที่พริ้วไหวต่อเนื่องทรงพลังและลงตัวอย่างที่สุดเหมาะสำหรับมีไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าสืบทอดไปยังลูกหลานในภายหน้าและเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
มหาเทพพรหมลิขิต
มหาเทพพรหมลิขิต
การกำเนิดพระพรหมในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทพยดา พระราชา พราหมณ์ปุโรหิต พระโยคี พระฤาษี ชีพราหมณ์ พระภิกษุสามเณรผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเพียรและศรัทธาปรารถนาการหลุดพ้นจากกิเลส จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรวิปัสสนากรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ จนสำเร็จฌานตามลำดับจนบรรลุแล้ว เมื่อสิ้นอายุขัยจะไปเกิดยังเทวโลกและพรหมโลก ครั้นเมื่อไปเกิดยังพรหมโลกแล้วจะพบแต่ความสุขสงบตราบสิ้นอายุขัยของพระพรหม
ในทางพราหมณ์ฮินดูนั้นเชื่อกันว่า ท้าวมหาพรหม คือผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และมีอานุภาพมากมายนานับประการ การสร้างเทวรูปของท้าวมหาพรหมณ์ มักนิยมสร้างสี่หน้าแปดกร ทรงถือของที่ต่างกัน คนไทยที่มีความศรัทธาจะเชื่อว่าท้าวมหาพรหมเป็นผู้กำหนดชีวิตมนุษย์ให้เป็นไปต่างๆ นานา เรียกกันว่า “พรหมลิขิต” สามารถกำหนดหรือบันดาลความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ได้
จากความเชื่อความศรัทธาสู่งานประติมากรรมล้ำค่า “มหาพรหมเทพลิขิต” อันเป็นงานประติมากรรมศิลปะไทยร่วมสมัย มีลักษณะย่างก้าวสู่แผ่นดินใหม่ยุคศิวิไลซ์ พระพักตร์ทั้งสี่ดูเข้มขลัง แต่ทรงไว้ซึ่งความเมตตา ด้านหลังมีประภามณฑล พระกรทั้งแปด ทรงถือของอันมีความหมายทั้งหลายดังนี้
- ทรงจักร หมายถึง การตัดกิเลสตัณหาให้พ้นจากความเสื่อมทั้งหลาย
- ทรงสังข์ หมายถึง ความมีชื่อเสียงที่ดีงามกังวาลไปทั้ง 4 ทิศ
- ทรงคทา หมายถึง ความตั้งมั่นอยู่บนคุณธรรมความดี
- ทรงคันฉ่อง หมายถึง การนำพาความเจริญรุ่งเรืองทั้งหลายมาสู่ตน
- ทรงสร้อยประคำ หมายถึง การใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา
- ทรงคัมภีร์ หมายถึง การค้นหาองค์ความรู้ใหม่อันเป็นต้นกำเนิดแห่งปัญญา
- ทรงตรีศูล หมายถึง การลิขิตและดลบันดาลให้สมปรารถนา
- พระกรขวาทรงผายออก หมายถึง ทรงประทานพรให้ประสบแต่ความสำเร็จ
ประทับบนฐานทรงกลม 3 ชั้น ฐานชั้นบนประดับลวดลายบัวคว่ำบัวหงายอยู่รายรอบ ฐานชั้นที่สองประกอบด้วยลายดอกรักร้อยอยู่รายรอบฐาน มีกนกสามด้าน ด้านหน้าปรากฎสัญลักษณ์รูปหงส์พาหนะแห่งมหาพรหมเทพลิขิต ฐานชั้นล่างรายรอบด้วยลายประจำยามทั้งสี่ทิศ มหาพรหมเทพลิขิตองค์นี้เป็นงานประติมากรรมที่ดูแล้วงดงามอลังการเป็นอย่างมากดุจองค์มหาพรหมเทพจำแลงแปลงมา
โดยผลงานดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากแนวคิดของ อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานและ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการแห่ง Artmulet ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้วและประติมากรมากความสามารถอย่าง อ.สุชาติ แซ่จิว โดยศิลปินทั้งสองท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งประณีต วิจิตร บรรจง งดงามอลังการโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร ด้วยลีลาเส้นสายที่พลิ้วไหวต่อเนื่องลงตัวเป็นที่สุดเหมาะสำหรับมีไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าสืบต่อไปยังลูกหลานและเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
รูปหล่อพระอินทร์ประทานพร
รูปหล่อพระอินทร์ประทานพร
พระอินทร์ประทานพร ประทานความสุข ความสำเร็จ มั่งคั่ง มั่นคง ร่ำรวย สมปรารถนา
พระอินทร์ประทานพร เป็นตัวแทนเจ้าผู้ปกครองผู้ทรงฤทธิ์ธำรงไว้ด้วยคุณธรรมเปี่ยมด้วยพระเมตตา ผู้สร้างคุณงามความดีและความรุ่งเรืองทั้งหลาย และเป็นเทพผู้ประทานพรแก่ผู้ทำความดีที่มีจิตศรัทธาอย่างมั่นคง ในคัมภีร์ฤคเวทได้กล่าวถึงพระอินทร์ไว้ว่าเป็นผู้บังคับบัญชาอาชาชาติ ราชรถ ชนคาม และปศุสัตวานุสัตว์ ผู้กระทำให้มีซึ่งตะวันและกาลอรุณรุ่ง ผู้กระทำให้สายน้ำขับเคลื่อน พระอินทร์ผู้ปลดเปลื้องโศกาดูรแห่งอนาถาชน ผู้ปลดเปลื้องรัตติกาลด้วยอรุโณทัย ผู้กระทำให้ความไม่สมบูรณ์เป็นความสมบูรณ์ พระอินทร์เป็นประมุขแห่งทวยเทพ มีอุปนิสัยชอบช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย
พระอินทร์ มีไพชยนต์ปราสาทเป็นที่ประทับมีอาวุธประจำกายที่ทรงพลานุภาพเป็นที่สุดคือวชิราวุธหรือวัชระ (สายฟ้า) ช้างทรงของพระอินทร์ชื่อ “ช้างเอราวัณ” ส่วนพระอาสน์ (ที่นั่ง) ของพระอินทร์นั้น มีความสำคัญมาก เมื่อใดที่เกิดร้อนขึ้นมาแสดงว่ากำลังมีผู้ขอพร เมื่อนั้นพระองค์จะลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อมาขจัดทุกข์ภัยให้หมดสิ้นไป ด้วยเมตตาบารมีที่สูงส่ง คอยปกป้องคุ้มครองผู้กระทำความดีอยู่เสมอไป
พระอินทร์ประทานพร ประทับบนบัลลังก์ทิพย์อาสน์เหนือช้างทรงเอราวัณและดอกปาริชาติในดาวดึงส์สวรรค์ ยกพระหัตถ์ขวาประทานพร ภายในอุ้งพระหัตถ์มีตาพระอินทร์ คอยสอดส่องล่วงรู้เหตุทั้งปวงประดุจดังท้าวพันตา พระหัตถ์ซ้ายถือวัชระเป็นอาวุธ อันทรงพลานุภาพเหนือกว่าอาวุธใดๆ มีไว้สำหรับฟาดฟันปัญหาและอุปสรรคทั้งปวงให้หมดสิ้นไป
สำหรับผู้ที่มีความสนใจและต้องการเก็บสะสมผลงานสุดยอดประติมากรรม พระอินทร์ประทานพร ที่มีความงดงามอลังการ ในครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่สุด
โดยผลงานดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารงานพุทธเทพยศิลป์อย่าง อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานและ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการแห่ง Artmulet ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้วและประติมากรมากความสามารถ อ.สุชาติ แซ่จิว โดยศิลปินทั้งสองท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยลีลาเส้นสายที่พลิ้วไหวต่อเนื่องลงตัวเป็นที่สุดเหมาะสำหรับมีไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าสืบต่อไปยังลูกหลานและเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
พญาสุบรรณสีทันดร ขนาดสูง 3 นิ้ว
พญาสุบรรณสีทันดร ขนาดสูง 3 นิ้ว
พญาสุบรรณสีทันดร สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ อำนาจ เงินตรา เสริมวาสนาบารมี กลับร้าย กลายเป็นดี
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกทั้งมวล และเป็นพาหนะของพระนารายณ์ อาศัยอยู่ ณ วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งวัชระหรือสายฟ้าของพระอินทร์ จะทำได้ก็เพียงแต่ทำให้ขนปีกของครุฑหลุดร่วงลงเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" อันหมายถึง "ผู้มีปีกอันวิเศษงดงามทรงพลัง" ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาแหลมคม อ่อนน้อมถ่อมตน ในมหากาพย์อย่างมหาภารตะนั้นเล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแต่ต่อมาภายหลังเกิดทะเลาะกันเลยกลายเป็นศัตรูกัน โดยครุฑและนาคนั้น เป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร มารดาของครุฑนั้นคือนางวินตา ส่วนมารดาของนาคคือนางกัทรุ ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพ ที่เกิดขึ้นในคราวกวนเกษียรสมุทรซึ่งเป็นสมบัติของ พระอินทร์ โดยพนันกันว่าหากใครแพ้ต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลาห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าม้าสีดำ ความจริงม้านั้นเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้ให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ นางวินตาไม่ทราบในกลอุบายเลยต้องยอมแพ้และตกเป็นทาสของนางกัทรุเป็นเวลาถึงห้าร้อยปี ต่อมาภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาของตนต้องตกเป็นทาสจึงคิดที่จะหาทางช่วยเหลือมารดา นางกัทรุจึงได้ให้ครุฑไปเอาน้ำอมฤตมาให้แก่พวกนาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงได้บินขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อเอาน้ำอมฤตจึงเกิดการต่อสู้กันระหว่างพระอินทร์และบรรดาทวยเทพเทวดาที่ติดตามมาฝ่ายเทวดานั้นไม่สามารถเอาชนะได้ พระอินทร์จึงได้ใช้วัชระซึ่งเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้โจมตีครุฑแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรครุฑได้แม้แต่น้อย ฝ่ายครุฑได้สลัดขนของตนให้หล่นลงเพียงเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบเหตุก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และได้สู้รบกันต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระนารายณ์ได้มอบน้ำอมฤตให้ด้วยเหตุที่ครุฑมีความกตัญญูต่อมารดาและประทานพรแก่ครุฑให้เป็นอมตะและยังให้ครุฑอยู่สูงกว่าเมื่อพระองค์ทรงประทับบัลลังก์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะขอเป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ตลอดไป
สีทันดร หรือมหานทีสีทันดร ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง หมายถึง ห้วงน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาล 7 สาย 7 ชนิด มีน้ำนม น้ำนมส้ม น้ำเนย น้ำอ้อย น้ำเหล้า น้ำจืด และน้ำเค็ม ไหลผ่านคั่นระหว่างเทือกเขาทั้ง 7 ที่เรียกว่า สัตบริภัณฑ์ ซึ่งรายล้อมรอบเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล เป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ความกว้างใหญ่ของมหานทีสีทันดรนี้ มีแต่พญาสุบรรณที่มีพละกำลังมหาศาลเท่านั้นจึงสามารถบินข้ามมหานทีสีทันดรไปได้ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลอีกทั้งยังมีเทือกเขาคั่นของมหานทีสีทันดรนี้เอง จึงเปรียบดั่งเช่นอุปสรรคและปัญหาในชีวิตของคนเรา ที่บางครั้งต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างมากเพื่อนำพาตัวเองข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาสู่ชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า ดังเช่นมหานทีทั้ง 7 สาย จึงผ่านพ้นไปได้ ดังนั้นกำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ตัวเองก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหลายได้ในที่สุด เพื่อให้ได้รับความสำเร็จสมดังปรารถนาในสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า
พญาสุบรรณสีทันดร จากตำนานความเชื่อสู่งานจิตรกรรมและประติมากรรมอันทรงคุณค่าแห่งพญาครุฑผู้ทรงพลังอำนาจ หนุนดวงชะตา เสริมบารมี กลับร้ายกลายเป็นดี นำพาผู้ศรัทธาสู่ความมั่งคั่ง รุ่งเรือง พญาสุบรรณสีทันดรเป็นผลงานประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านพญาครุฑในลักษณะกึ่งคนกึ่งเทพคือมีลำตัวเป็นคนมีหัวและขาเป็นนกตามแบบสากลนิยม ลักษณะกางปีกเหินเวหาทรงพลังอำนาจข้ามมหานทีสีทันดรที่พำนักอาศัยแห่งปลาอานนท์ผู้หนุนโลกขณะพลิกตัวสะบัดหางในมหานทีสีทันดร เกิดเป็นฟองน้ำเดือดพล่านผ่านกรงเล็บแห่งพญาสุบรรณสีทันดร
โดยผลงานดังกล่าวสืบเนื่องจากแนวคิดจาก อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานแห่ง Artmulet และ ดร.ทรงพล เขมะบูลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ผ่านจิตรกรเอกอย่าง อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากรดังอย่าง อ.กฤษณะ นาพูลผล โดยศิลปินทั้งสองท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างงดงามน่าอัศจรรย์ด้วยเส้นสายลีลาที่พริ้วไหวต่อเนื่องทรงพลังและลงตัวอย่างที่สุดเหมาะสำหรับมีไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าสืบทอดไปยังลูกหลานในภายหน้าและเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
คเนศวรมหาเทวะ ปัญญาบารมี ขนาดสูง 3 นิ้ว
คเนศวรมหาเทวะ ปัญญาบารมี ขนาดสูง 3 นิ้ว
คเนศวรมหาเทวะ ปัญญาบารมี ขจัดอุปสรรคปัญหานำพาผู้ศรัทธาสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ งดงามเหนือคำบรรยาย
“คเนศวรมหาเทวะ” หรือผู้คนส่วนใหญ่มักเรียก พระพิฆเนศ เป็นบุตรขององค์ศิวะมหาเทพหรือพระอิศวร มหาเทพผู้เป็นใหญ่สูงสุดตามศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ลัทธิไศวะนิกาย และพระแม่อุมาเทวี พระมารดา เป็นอนุชาของพระขันธกุมาร ครั้งหนึ่งพระแม่อุมาเทวี ได้นำเอาผลมะม่วงมาถวายแด่องค์พระศิวะมหาเทพผลหนึ่ง แต่ปรากฏว่าลูกทั้งสองคือ พระพิฆเนศและพระขันธกุมาร ต่างก็ต้องการที่จะเสวยมะม่วงผลนี้ด้วยเช่นกัน องค์ศิวะมหาเทพจึงได้ถือเอาโอกาสนี้ทดสอบภูมิปัญญาของลูกทั้งสอง โดยได้กล่าวขึ้นว่าเจ้าทั้งสองหากแม้นใครสามารถเดินทางรอบโลกได้ถึงเจ็ดรอบและกลับสู่วิมานแห่งนี้ได้ก่อนผู้นั้นจึงจะได้เป็นเจ้าของมะม่วงผลนี้ ฝ่ายพระขันธกุมารเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบทรงนกยูงพาหนะคู่กายตระเวนรอบโลกทันที ฝ่ายพระพิฆเนศแทนที่จะเอาอย่าง กลับเดินประทักษิณารอบองค์พระศิวะมหาเทพผู้เป็นบิดาและพระแม่อุมาผู้เป็นมารดาของพระองค์จนครบเจ็ดรอบ แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า..."ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์ผู้สร้างโลก พระองค์ทั้งสองทรงเป็นบิดาและมารดาจึงเปรียบได้ดังเป็นโลกแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทำประทักษิณาต่อพระองค์ทั้งสองเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศลเท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ" องค์ศิวะมหาเทพได้ยินเช่นนั้นก็มีความยินดีในคำตอบเป็นอย่างยิ่งและกล่าวชื่นชมในสติปัญญาขององค์พระพิฆเนศว่า "เจ้าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมและมีสติปัญญาเป็นที่สุด สิ่งที่เจ้าได้กล่าวมานั้นเป็นจริงทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดได้มีปัญญาเป็นคุณสมบัติติดตัว แม้เมื่อโชคร้ายมาถึง ความโชคร้ายนั้นย่อมถูกกำจัดสิ้นด้วยปัญญา" และจึงได้มอบมะม่วงผลนั้นให้กับองค์พระพิฆเนศในทันที
จากตำนานแห่งความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านองค์คเนศวรมหาเทวะในลักษณะก้าวเดินรอบโลกขณะที่พระพักตร์ดูมีความสุขและกำลังใช้งวงดูดขนมโมทกะ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายถือถ้วยขนมโมทกะที่พระองค์ทรงโปรดปรานเปรียบดังความสุขความอุดมสมบูรณ์แห่งชีวิต พระหัตถ์ขวาถืองาและผลมะม่วงเปรียบดังการมีสติปัญญาอันแหลมคมสามารถแทงทะลุปัญหานำพาสู่ความสำเร็จทั้งปวงมาสู่ตน พระหัตถ์ซ้ายด้านบนถือเชือกบ่วงสำหรับคล้องใจผู้คนทั้งหลายให้เป็นที่รักที่เชื่อถือและศรัทธา พระหัตถ์ขวาบนถือขวานอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาทั้งหลายให้หมดสิ้นไป พระรัศมีด้านบนมีความโชติช่วงสว่างไสวและแหลมคมแทงทะลุปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายได้หมดสิ้นพระรัศมีด้านหลังตรงกลางเป็นตัวอักขระโอมอันศักดิ์สิทธิ์เป็นคำบูชามหาเทพในที่นี้เปรียบดังองค์ศิวะมหาเทพอันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลล้อมรอบด้วยเส้นประทักษิณา ถัดลงมาเป็นพระนามแห่งองค์คเนศวรมหาเทวะ รายล้อมด้วยลวดลายแห่งอากาศธาตุอันเป็นสุญญตาคือความว่างอันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาบารมี สำหรับด้านล่างที่เป็นส่วนของฐานนั้นชั้นบนประกอบด้วยดาวโลกที่มีหนูมุสิกะอันเป็นผู้ศรัทธาในองค์คเนศวรมหาเทวะกำลังนั่งขบเคี้ยวขนมโมทกะที่พระองค์ทรงประทานให้ดุจดังผู้คนทั้งหลายที่มีศรัทธาต่อองค์คเนศวรมหาเทวะจะได้รับความสุขสมบูรณ์บนพื้นโลกใบนี้ บริเวณรอบโลกมีเปลวรัศมีแห่งอากาศธาตุรายล้อมอยู่รอบด้านเปรียบดังสุญญตาคือความว่างอันนำมาสู่ปัญญาบารมี รอบฐานประกอบด้วยดวงดาวนพเคราะห์ทั้งหลายตามหลักโหราศาสตร์ ประกอบด้วยดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ราหู เกตุ และ มฤตยู อันหมายถึงการหนุนชะตาเสริมบารมี ขจัดอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้นนำพาความสำเร็จมาสู่ผู้ศรัทธาในทุกดวงชะตาราศีเกิด
โดยผลงานดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารงานพุทธศิลป์และเทวศิลป์อย่าง อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานและ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการแห่ง ARTMULET ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากรมากความสามารถ อ.กฤษณะ นาพูลผล โดยศิลปินทั้งสองท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยลีลาเส้นสายที่พลิ้วไหวการย่างก้าวที่ต่อเนื่องลงตัวเหนือคำบรรยาย เหมาะสำหรับมีไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าสืบต่อไปยังลูกหลานและเพื่อฝากไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา ขนาดสูง 3 นิ้ว
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา ขนาดสูง 3 นิ้ว
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา ผู้บันดาลทรัพย์สินเงินตรา สู่ความมั่งคั่ง ร่ำรวย แก่ผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง
ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งองค์หนึ่งที่พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดต่างๆ จึงมีรูปปั้นยักษ์ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูโบสถ์หรือวิหาร ถ้าเป็นยักษ์ตนเดียวก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณคอยทำหน้าที่ปกปักรักษา และด้วยกุศลผลบุญที่ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณบำเพ็ญมานับหลายพันปี พระพรหมและพระอิศวร จึงประทานพรให้ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณเป็นอมตะ และเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมเคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งและความสมบูรณ์แห่งทรัพย์อีกด้วย
ท้าวกุเวรธเนศวรธนบดีมหาราชลีลา พญายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ ในชุดเครื่องทรงอาภรณ์มงกุฎประดับ ดำรงอิสริยยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ ประทับบนบัลลังค์ทองประดับด้วยเพชรนิลจินดาแบบมหาราชลีลาอันหมายถึงผู้ที่นั่งอยู่เหนือกองมหาสมบัติทั้งหลาย มือซ้ายมีอาวุธเป็นกระบองมหากาลใช้ทำลายล้างปัญหาและอุปสรรคต่างๆให้สิ้นไป มือขวาถือไหทองคำดุจดังเงินไหลกองทองไหลมาไม่สิ้นสุด มือซ้ายบนถือโครตเพชรเม็ดงามแสดงถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ในทรัพย์สมบัติอันมหาศาลไม่มีที่สิ้นสุด มือขวาบนชี้นำทางสว่างสู่ความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ ดังนั้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสร้างคุณงามความดีและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในการฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายเพื่อนำไปสู่ขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ไพศาลสมดังปรารถนา ทางคณะกรรมการผู้จัดสร้างโดย อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารงานพุทธศิลป์ แห่ง Artmulet และดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ได้มอบหมายให้ อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว จิตรกรเอกแห่งยุค เป็นผู้ออกแบบผลงานดังกล่าว และมอบให้ อ.กฤษณะ นาพูลผล ประติมากรเอกชื่อดัง เป็นผู้รังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ และเพื่อให้ผลงานในครั้งนี้มีความงดงามวิจิตรบรรจงใกล้เคียงองค์ต้นแบบมากที่สุดจึงได้มอบหมายให้โรงหล่อเอเชียไฟน์อาร์ต เป็นผู้รับผิดชอบการหล่อผลงานครั้งนี้ โดยหล่อด้วยโลหะบรอนซ์ออสเตเรีย (สำริด) เพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกเป็นเครื่องเจริญพุทธานุสติแด่ผู้มีจิตศรัทธาที่ได้ร่วมกันบริจาคเงินในโครงการจัดสร้างที่พักและสถานปฏิบัติธรรม วัดขุนอินทรประมูล จ.อ่างทอง และมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของแผ่นดิน