พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ
พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ หนุนดวงชะตา เสริมวาสนาบารมี ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต
พระพิชัยสงคราม
ตำราพิชัยสงคราม เป็นตำราที่ว่าด้วยยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่างๆ เพื่อเอาชนะข้าศึกศัตรูในยามสงคราม ซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาต่อมาในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้มีการชำระขึ้นใหม่เป็นตำรับ “พิชัยสงครามฝ่ายทัพ” อีกทั้งยังมีตำรับ “พิชัยสงครามฝ่ายโหร” ซึ่งเป็นตำราที่รวบรวมความรู้ด้านโหราศาสตร์ พุทธาคมที่ค้นพบกันในสมัยหลัง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ตำราพิชัยสงคราม จัดได้ว่าเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่สำคัญทางวัฒนธรรมของชาติ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้จะหาผู้รู้ที่จะสามารถอธิบายถึงองค์ความรู้ดังกล่าวได้ยากเต็มทีก็ตาม ส่วนมูลเหตุของการสร้าง “พระพิชัยสงคราม” นั้น มาจากตำรับพระพิชัยสงครามฝ่ายโหร ซึ่งได้กล่าวถึงการสร้างและบูชาดวงพระชันษาขององค์พระมหากษัตริย์ในอดีต โดยจะจัดทำเป็นแผ่นทองดวง 2 ดวง โดยดวงหนึ่งบรรจุใน “ยันต์พิชัยสงคราม” แบบเพชรพยุหะล้อมรอบด้วยอักขระ 3 ชั้น เป็นพระมหาประเจียดใหญ่ ซึ่งต้องสักการะบูชาด้วยเครื่องบูชามงคลอยู่เสมอ และเมื่อเวลาที่พระองค์จะทรงเสด็จออกศึกสงครามหรือเมื่อเวลาที่พระองค์จะทรงเสด็จไปที่ใด เมื่อนำดวงพระชันษานั้นไปด้วย เชื่อว่าจะทำให้พระองค์ทรงมีตบะ เดชะ บารมีคุ้มครองป้องกันภัยได้นานับประการ ในส่วนอีกดวงหนึ่งนั้น บรรจุดวงชะตาแบบจักรราศีล้อมรอบด้วยอักขระ 3 ชั้น แล้วนำไปบรรจุในไม้ง่าม เพื่อค้ำพระศรีมหาโพธิ์ อันมีนัยยะประดุจดังถูกข้าศึกล้อมไว้ถึง 3 ชั้น แต่ก็จะ “กลับร้ายให้กลายเป็นดี” นอกจากนี้ยันต์พิชัยสงครามยังเป็นยันต์ที่เคยใช้ในการบรรจุดวงชะตาพระนคร เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล มั่นคงถาวรแก่บ้านเมือง อีกทั้งการลงดวงพระชันษาของพระมหากษัตริย์ในอดีตนั้นก็เพื่อให้พระองค์ทรงมีพระชนม์พรรษายิ่งยืนนาน โดยสรุปแล้วการลงดวงชะตาตามตำรับพระพิชัยสงครามแต่เดิมนั้นเป็นการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับราชการสงคราม ชะตาบ้านเมือง และองค์พระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ ต่อมาในภายหลังได้มีโหราจารย์ ได้นำพิธีกรรมการบรรจุดวงชะตาในยันต์พิชัยสงครามมาประกอบพิธีดังกล่าวให้กับเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จนถึงคหบดีและประชาชนทั่วไป เพื่อให้ผู้ที่มียันต์พิชัยสงครามบูชาประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
ต่อมาจึงได้มีการสร้างพระพิชัยสงครามขึ้น เป็นพระพุทธรูปยืนปาง “ห้ามสมุท” ซึ่งมีนัยยะถึง “สมุทัย” อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ และเมื่อห้ามสมุทแล้ว ทุกข์ทั้งหลายจึงหมดสิ้นไป โดยคติเดิมการสร้างพระพิชัยสงครามนั้น จะใช้ไม้ศรีมหาโพธิ์นิพพานคือ กิ่งตายที่หักตกลงมาเอง นำมาแกะเป็นองค์พระ ให้มีขนาดความสูงจากพระบาทไปถึงพระเมาลีประมาณ 11-13 นิ้วหัวแม่มือของผู้สร้าง และให้มีเดือยใต้ฐานพระบาทสำหรับยึดแผ่นรองพระบาทด้วยไม้ไผ่สีสุก เปลวรัศมีใช้ไม้ชุมแสง แผ่นรองพระบาทใช้ไม้นนทรี ส่วนแท่นรองพระบาทใช้ไม้ขนุนแกะ คว้านใต้ฐานให้กลวงเพื่อใช้สำหรับบรรจุดวงพระพิชัยสงคราม ซึ่งต้องพับเป็นรูปดอกบัว พร้อมทั้งบรรจุสิ่งของมงคล เครื่องยา ตามตำรับการสร้างพระพิชัยสงคราม
อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ปรมาจารย์ด้านไสยเวทย์ พุทธาคมและโหราศาสตร์ จัดได้ว่าเป็นผู้ที่เผยแพร่การสร้างพระพิชัยสงครามที่มีความสำคัญท่านหนึ่ง ได้อธิบายถึงการสร้างพระพิชัยสงครามว่า การสร้างพระบรรจุดวงชะตานั้น องค์พระเปรียบประดุจเป็นตัวรถยนต์ การบรรจุดวงชะตาเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ มีแรงศรัทธาเปรียบเสมือนน้ำมัน หากตัวรถยนต์ไม่มีเครื่องก็ไม่สามารถแล่นไปได้ แต่ถึงมีเครื่องแต่ถ้าไม่มีน้ำมันซึ่งก็คือแรงศรัทธาแล้วไซร้ รถก็ไม่สามารถแล่นไปได้เช่นกัน แต่หากมีครบองค์ประกอบดังกล่าว รถยนต์ย่อมแล่นถึงที่หมายโดยบรรลุผลดังที่หวังได้สำเร็จ การสร้างพระบรรจุดวงชะตานี้ ได้มีการกระทำกันมาแล้วหลายสำนักด้วยกัน เช่น วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มา) วัดกลางบางแก้ว โดยท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก หลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) ซึ่งกระทำตามตำราของท่านพระเทวโลกโหรหลวงคนสำคัญ
ด้วยความสำคัญดังกล่าวนี้ Artmulet โดยอ.ธนทัศน์ ทองเนียม ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารงานพุทธเทวศิลป์ และดร.ทรงพล เขมะบุลกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์สังคมและการเมือง ที่ปรึกษาโครงการ และคณะกรรมการวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง จึงมีมติเห็นตรงกันว่า สมควรให้มีการจัดสร้าง “พระพิชัยสงคราม” ขึ้นมาเพื่อหนุนดวงชะตาชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่จะนำพระพิชัยสงครามไปสักการะบูชาโดยถวายพระนามตามชัยภูมิถิ่นกำเนิดว่า “พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ” นอกจาก Artmulet จะเล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดสร้างพระพิชัยสงครามแล้ว โดยที่ผ่านมาผลงานของ Artmulet ได้เน้นให้ความสำคัญกับงานศิลป์ชั้นสูงมาโดยตลอด จึงได้มีการประยุกต์การสร้างพระพิชัยสงครามจากองค์พระที่ต้องสร้างด้วยไม้พระศรีมหาโพธิ์นิพพานไปสู่โลหะสัมฤทธิ์ที่ทรงคุณค่าและมีความศักด์สิทธิ์อยู่ในตัว นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากจิตรกรเอกชื่อดัง อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และอ.สุชาติ แซ่จิว บรมครูด้านประติมากรชื่อดัง เป็นผู้รังสรรค์ปั้นแต่งพระพุทธปฏิมากรองค์ต้นแบบนี้ ด้วยความประณีต วิจิตรบรรจง งดงาม ตระการตาและอลังการเป็นที่สุด โดยมีพุทธลักษณะในแบบพระพุทธรูปยืน ปางห้ามสมุท (ห้ามทุกข์) ทรงเครื่องใหญ่ในแบบพระเจ้าจักรพรรดิ ศิลปะอยุธยาตอนปลาย ยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวง เพื่อให้ “พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ” มีความงดงามอลังการเป็นที่สุด โดยภายในฐานขององค์พระพุทธรูปนั้นจะทำการบรรจุ “ดวงพิชัยสงคราม” ที่ลงดวงมาอุจจ์ อีกทั้งยังต้องประกอบไปด้วยพิธีกรรมทางโหราศาสตร์ พุทธาคม รวมทั้งอักขระเลขยันต์ ฤกษ์ยามโดยได้มีการประยุกต์รูปแบบการบรรจุดวง ซึ่งแต่เดิมจะบรรจุดวงชะตาของผู้ที่จะนำไปสักการะบูชา เป็นการบรรจุดวงมหาอุจจ์ในยันต์พระพิชัยสงครามแทน ซึ่งจะสะดวกต่อหลายท่านที่ต้องการนำพระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิไปบูชา แต่ตนเองไม่ทราบเวลาเกิดที่แน่ชัด ดวงมหาอุจจ์นี้ทางโหราศาสตร์ว่าไว้เมื่อผู้ใดมีดวงมหาอุจจ์ในดวงชะตาของตนเองแล้วไซร้ ผู้นั้นจะได้ขึ้นเป็นใหญ่สู่จุดสูงสุดของชีวิตในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้เพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าแด่ผู้มีจิตศรัทธาในการร่วมจัดสร้างที่พักสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมและศาลาอเนกประสงค์ ณ วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง
ดังนั้น “พระพิชัยสงครามสุวรรณภูมิ” จึงถือได้ว่าเป็นพระพุทธปฏิมากรที่ทรงคุณค่าเป็นที่สุดในทุกๆด้าน สมควรอย่างยิ่งที่ต้องมีไว้เป็นพระประจำตัว ประจำบ้าน ประจำตระกูลเพื่อให้ผู้ที่สักการะบูชาขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต เป็นมรดกสืบต่อไปยังลูกหลานในวันข้างหน้า และเพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป