ครุฑรุกสวรรค์
ครุฑรุกสวรรค์ นำพาโถน้ำอมฤตสู่ชีวิตอมตะ
ตามคติโบราณว่าไว้ ผู้ใดอยากได้อำนาจ วาสนา บารมี ทรัพย์สินเงินทองให้บูชาพญาครุฑ เนื่องจากพญาครุฑนั้นเป็นตัวแทนแห่งความดี ความซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณ เปี่ยมด้วยคุณธรรม และเป็นผู้ทรงพลังอำนาจเหนือกว่าผู้ใดอีกทั้งยังเป็นพาหนะของพระนารายณ์ และได้รับพรให้เป็นอมตะไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งวัชระหรือสายฟ้าของพระอินทร์ จะทำได้ก็เพียงแต่ทำให้ขนปีกของครุฑหลุดร่วงลงเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ครุฑมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" อันหมายถึง "ผู้มีปีกอันวิเศษงดงามทรงพลัง" ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ อาศัยอยู่ ณ วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาแหลมคม อ่อนน้อมถ่อมตน ในมหากาพย์อย่างมหาภารตะนั้นเล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแต่ต่อมาภายหลังเกิดทะเลาะกันเลยกลายเป็นศัตรูกัน โดยครุฑและนาคนั้น เป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร มารดาของครุฑนั้นคือนางวินตา ส่วนมารดาของนาคคือนางกัทรุ ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพ ที่เกิดขึ้นในคราวกวนเกษียรสมุทรซึ่งเป็นสมบัติของ พระอินทร์ โดยพนันกันว่าหากใครแพ้ต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลาห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าม้าสีดำ ความจริงม้านั้นเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ นางวินตาไม่ทราบในกลอุบายเลยต้องยอมแพ้และตกเป็นทาสของนางกัทรุเป็นเวลาถึงห้าร้อยปี ต่อมาภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาของตนต้องตกเป็นทาสจึงคิดที่จะหาทางช่วยเหลือมารดา นางกัทรุจึงได้ให้ครุฑไปเอาน้ำอมฤตมาให้แก่พวกนาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงได้บินขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อเอาน้ำอมฤตจึงเกิดการต่อสู้กันระหว่างพระอินทร์และเหล่าทวยเทพเทวาทั้งหลายที่ติดตามมาฝ่ายเทวดานั้นไม่สามารถเอาชนะได้ พระอินทร์จึงได้ใช้วัชระซึ่งเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้โจมตีครุฑแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรครุฑได้แม้แต่น้อย ฝ่ายครุฑได้สลัดขนของตนให้หล่นลงเพียงเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบเหตุก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และได้สู้รบกันต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระนารายณ์ได้มอบน้ำอมฤตให้ด้วยเหตุที่ครุฑมีความกตัญญูต่อมารดาและประทานพรแก่ครุฑให้เป็นอมตะและยังให้ครุฑอยู่สูงกว่าเมื่อพระองค์ทรงประทับบัลลังก์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะขอเป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ตลอดไป
น้ำอมฤตนั้นมีคุณวิเศษเป็นอย่างยิ่งจะเกิดขึ้นจากการกวนเกษียรสมุทร โดยมีพระวิษณุเทพเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการทำการเคลื่อนย้ายภูเขามันทระ ซึ่งเป็นภูเขาที่เป็นแหล่งกำเนิดมณีนพรัตน์ แต่เนื่องจากเทวดาฝ่ายเดียวไม่สามารถกวนเกษียรสมุทรให้สำเร็จได้จึงต้องชักชวนเหล่าอสูรมาร่วมมือกัน ต้องทำให้ทะเลน้ำนมกระเพื่อมจึงจะเกิดเป็นน้ำอมฤตและต้องใช้ลำตัวพญานาควาสุกรีมาพันรอบภูเขามันทระ จากนั้นต่างฝ่ายต่างดึงให้ภูเขาสั่นไหวจนทะเลน้ำนมกระเพื่อม ซึ่งต้องใช้เวลานานนับพันปีกว่าจะได้น้ำอมฤต ระหว่างนั้นภูเขามันทระถูกปั่นจวนจะทะลุพื้นโลกร้อนถึงพระนารายณ์ต้องอวตารเป็นเต่าเอากระดองมารองรับภูเขาไว้ไม่ให้โลกแตก ดังนั้นน้ำอมฤตจึงมีคุณวิเศษอย่างยิ่งเมื่อผู้ใดได้ดื่มแล้วจะเป็นอมตะมีพละกำลังมหาศาล
ครุฑรุกสวรรค์ จากตำนานความเชื่อสู่งานจิตรกรรมและประติมากรรมอันทรงคุณค่าแห่งพญาครุฑผู้ทรงพลังอำนาจ หนุนดวงชะตา เสริมบารมี กลับร้ายกลายเป็นดี นำพาผู้ศรัทธาสู่ความมั่งคั่ง รุ่งเรือง “ครุฑรุกสวรรค์” เป็นผลงานประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านพญาครุฑในลักษณะกึ่งคนกึ่งเทพคือมีลำตัวเป็นคนมีหัวและขาเป็นนกตามแบบสากลนิยม ลักษณะกระพือปีกอันทรงพลังสามารถเกิดเป็นพายุหมุนหอบเอาโถน้ำอมฤตอันมีคุณวิเศษขึ้นมา ข้างโถน้ำอมฤตยังมีขนปีกของครุฑที่สลัดไว้อยู่เส้นหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ให้เกียรติแก่ผู้สมควรได้รับเกียรติเนื่องด้วยพระอินทร์นั่นคือผู้ทำหน้าที่ปกป้องสวรรค์ โดยผลงานดังกล่าวสืบเนื่องจากแนวคิดจาก อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานแห่ง Artmulet และ ดร.ทรงพล เขมะบูลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ผ่านจิตรกรเอกอย่าง อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากรดังอย่าง อ.สุชาติ แซ่จิว โดยศิลปินทั้งสองท่านสามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงาน “ครุฑรุกสวรรค์” ในครั้งนี้ ได้งดงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งเส้นสายที่พลิ้วไหวต่อเนื่องทรงพลังอำนาจและลงตัวอย่างที่สุดเหมาะอย่างยิ่งสำหรับมีไว้เป็นเครื่องเจริญสติเป็นมรดกสืบทอดไปยังลูกหลานในภายหน้าและเป็นสมบัติอันล้ำค่าของคนไทยสืบไป