พระตรีมูรติมหาเทพ
มหาเทพผู้นำพาความสำเร็จสมปรารถนาอันสูงสุดมาสู่มวลมนุษยชาติ
ผลงานประติมากรรมที่มีความยิ่งใหญ่สุดอลังการด้วยการผสานพลังอำนาจ ศิลปะวิทยาการ พระบารมีอันยิ่งใหญ่ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวของสามมหาเทพอันถือเป็นที่สุดตามความเชื่อและความศรัทธาของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อันได้แก่พระอิศวรหรือพระศิวะมหาเทพองค์สูงสุด ตามลัทธิไศวนิกาย ผู้เป็นใหญ่ในสามโลก ผู้อยู่เหนือกาลเวลา ผู้สถิต ณ เขาไกรลาสแกนกลางของจักรวาล ผู้ทำลายล้างสิ่งเลวร้ายทั้งหลายให้หมดสิ้นไป เพื่อก่อกำเนิดสิ่งต่างๆ ขึ้นใหม่ โดยพระพรหมมหาเทพผู้ลิขิตความเป็นไปแห่งมวลมนุษยชาติ ผู้ยิ่งใหญ่ในพระเวทและเป็นผู้รังสรรค์สิ่งใหม่ในสรรพชีวิตทั้งหลาย โดยมีมหาเทพองค์สำคัญคือพระนารายณ์หรือพระวิษณุมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่และสูงสุดตามลัทธิไวษณพนิกาย ผู้อวตารเป็นเทพองค์ต่างๆ ได้อย่างมากมายเพื่อแก้ไขขจัดปัญหาและอุปสรรคในช่วงเวลาวิกฤตทั้งหลายที่เกิดขึ้น ถือเป็นมหาเทพผู้ปกป้องดูแลคุ้มครองและรักษาให้ธำรงคงอยู่
จากเรื่องราวแห่งความเชื่อและความศรัทธาของมหาเทพผู้เป็นใหญ่ทั้งสามพระองค์ สู่ผลงานประติมากรรม ที่มีความงดงาม อลังการ และทรงคุณค่าในรูปแบบศิลปะไทย พระนาม “พระตรีมูรติมหาเทพ”
พระตรีมูรติมหาเทพ ถือเป็นมหาเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นการอวตารมารวมกันของมหาเทพองค์สูงสุดทั้งสามพระองค์ คือ พระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวร หากมองในมุมของปรัชญาแล้วเปรียบได้ดัง ผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย อันหมายถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คนไทยให้ความสำคัญกับพระตรีมูรติ เป็นสัญลักษณ์ของการสมปรารถนาในด้านความรัก แท้ที่จริงแล้วพระตรีมูรติจะประทานพรแห่งความสำเร็จในทุกๆ ด้านให้แก่ผู้ที่ทำความดีอีกด้วย
จากตำนานแห่งความศรัทธาสู่การรังสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการอวตารเพื่อผสานพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของสามมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สู่องค์ พระตรีมูรติมหาเทพ ในรูปแบบศิลปะไทยร่วมสมัย เทวลักษณะยืนอยู่ในท่วงท่าที่องอาจผึ่งผาย มีสามเศียรสี่กร โดยเศียรด้านหน้าเป็นเศียรของพระอิศวรหรือพระศิวะมีพระพักตร์สงบนิ่ง ดูอิ่มเอิบ ด้วยความสุขจากภายในสู่ภายนอก พระนลาฏมีพระเนตรที่สามอันเป็นสัญลักษณ์ของการมองทะลุปัญหาล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า และใช้ทำลายล้างสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่โลกยุคใหม่ ทรงมงกุฎมีสัญลักษณ์ปิ่นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว พระเศียรด้านขวาเป็นเศียรพระนารายณ์มีพระพักตร์ที่งดงามดูสุขุมนุ่มลึกทรงมงกุฎทรงสูง พระเศียรด้านซ้ายเป็นเศียรของพระพรหม พระพักตร์มีหนวดเคราดูเข้มขลัง ทรงมงกุฎที่มีพระพักตร์ทั้งสี่ของพระพรหมอยู่ด้านบน ทรงภูษาอาภรณ์ด้วยเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ มีภูษาพาดไหล่คล้องพระศอด้วยนาคสังวาลย์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงตรีศูลอาวุธอันทรงพลานุภาพและบัณเฑาะว์สัญลักษณ์แห่งการอยู่เหนือทั้งสามโลก พระหัตถ์ซ้ายทรงมหาธนูสัญลักษณ์สู่ความสมบูรณ์ด้วยอำนาจ พระหัตถ์ซ้ายบนทรงคัมภีร์มหาพรหมสัญลักษณ์แห่งสรรพวิชาและองค์ความรู้ทั้งหลาย นำไปสู่การตื่นรู้พบความสำเร็จสมปรารถนาทั้งหลายไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พระหัตถ์ขวาบนทรงจักรพระนารายณ์ผู้ขจัดปัญหาอุปสรรคทั้งหลายให้หมดสิ้นไปอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยคุณธรรมความดีงามที่ปรากฏไปทั้งสามโลก ประทับยืนบนฐานสามชั้นประดุจดังการยืนอยู่เหนือโลกทั้งสาม โดยฐานชั้นบนรายล้อมด้วยกลีบบัวและบุปผาสวรรค์ ฐานชั้นกลางประกอบด้วยลายประจำยามทั้งสี่ทิศประดุจดังการระวังป้องกันรอบด้านมีสัญลักษณ์พาหนะของมหาเทพทั้งสามอยู่โดยรอบ คือ โคนนทิ พญาครุฑ และพญาหงส์ สื่อความหมายถึงการมีบริวารผู้เก่งกล้าสามารถซื่อสัตย์กตัญญูคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ฐานชั้นล่างรายล้อมด้วยสายน้ำ และพืชพันธุ์ปลาต่างๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดถูกรวมเข้าด้วยกันแล้วมหาเทพองค์นี้นอกจากถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จสมปรารถในทุกๆ ด้านแล้ว ยังหมายถึงความสำเร็จสมปรารถนาในด้านความรักอันจะนำมาซึ่งความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่ผู้ที่ได้มีไว้ในครอบครอง และเพื่อเป็นสมบัติของวงศ์ตระกูลสืบต่อไปอีกด้วย
โดยผลงานดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากแนวคิดจาก อ.ธนทัศน์ ทองเนียม ประธานดำเนินงานแห่ง Artmulet และ ดร.ทรงพล เขมะบุลกุล ที่ปรึกษาโครงการ ผ่านจิตรกรเอก อ.เกรียงกมล นาคบางแก้ว และประติมากรชั้นครู อ.สุชาติ แซ่จิว สองศิลปินที่สามารถรังสรรค์ปั้นแต่งผลงานในครั้งนี้ได้อย่างงดงามสุดอลังการอย่างน่าอัศจรรย์ทั้งรายละเอียดที่ดูอ่อนช้อยงดงามพริ้วไหวแต่ทรงพลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย และทั้งหมดนี้เพื่อมอบไว้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของของคนไทยสืบไป